คุณรู้จักไทยเรยอนมากแค่ไหน ? ในฐานะที่ท่านเป็นพนักงานของบริษัทไทยเรยอน จำกัด (มหาชน) กันมานานหรือบางคนอาจเพิ่งได้รับการบรรจุเป็นพนักงานในปีนี้ แต่ถ้าถามว่าแล้วท่านรู้จัก “ไทยเรยอน” แค่ไหน เชื่อว่าคำตอบที่ได้คงไม่พ้นคำว่า “เป็นบริษัทผลิตเส้นใยสังเคราะห์เรยองรายเดียวในประเทศไทย” หรือ คำตอบอื่น ๆ อีกหลายคำตอบ แต่ถ้าถามว่าบริษัทก่อตั้งเมื่อไร มีหุ้นเท่าใด ใครเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ฯลฯ เชื่อว่าหลายคนคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเรามาลองมารู้จักไทยเรยอนกันดีไหม
บริษัทไทยเรยอน จำกัด (มหาชน) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อาคารมหาทุนพลาซ่า ชั้นที่ 16 เลขที่ 888/160-161 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2253-6745-54 โทรสาร 0-2254-3181 , 0-2254-5472
บริษัทก่อตั้งเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2517 โดยทุนจดทะเบียน 201,600,000 หุ้น มูลค่าหุ้น ๆ ละ 1 บาท เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยหุ้นของบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2528 มีวันสิ้นรอบบัญชีวันที่ 30 กันยายน ของทุกปี
บริษัทไทยเรยอน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นใยประดิษฐ์เรยอน (Viscose Rayon Stale Fibre) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 59,897 เมตริกตันต่อปี ในขบวนการผลิตบริษัทจะได้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง (By Product ) คือ เกลือโซเดียมซัลเฟต ซึ่งเป็นสารเคมีประเภทเกลือที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสบู่และผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ของบริษัทแยกประเภทการจัดจำหน่ายได้ ดังนี้ คือ
1. ขายในประเทศ เส้นใยประดิษฐ์เรยอน49.26% ของยอดขายทั้งหมด และ โซเดียมซัลเฟต 98%
2. ขายต่างประเทศ เส้นใยประดิษฐ์ 50.74% ของยอดขายทั้งหมด และโซเดียมซัลเฟต 2%
ผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 ลำดับแรกได้แก่ 1. บริษัทแอสซัล จำกัด (Asseau company limited ) 33,582,848 หุ้น 16.66%
2. บริษัทโวลตัน จำกัด (Wholton company limited ) 22,165,700 หุ้น 10.99%
3. บริษัทฮาร์ทโกลบอล จำกัด (Hart Global limited ) 21,600,000 หุ้น 10.71%
4. บริษัทกราซิม อินดัสเตรียล จำกัด ( Grasim industries limited ) 13,988,570 หุ้น 6.94%
5. บริษัทไทยอินดัสเตรียล แมนเนจเม้นท์ แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด 9,738,500 4.83%
คณะกรรมการบริษัท ประกอบด้วย นายกุมาร์ มังกาลัม เบอร์ล่า ประธานกรรมการ นายพี.เอ็ม.บาจาจ กรรมการผู้จัดการ นางราชาสรี เบอร์ล่า นางนีรจา เบอร์ล่า นายอโมลัด ทักราล นางรัชนี คาจิจิ นายไซเลนดรา กุมาร เจน นายปูรันมาล บาจาจ เป็นกรรมการ และ นายวินัย สัจเดว กรรมการอิสระ
นายไซยัม ซุนเดอร์ มาฮันซาเรีย ประธานกรรมการตรวจสอบ นายวินัย สัจเดว และนายรามาคานท์ ราทิ กรรมการตรวจสอบ
บริษัทตั้งเป้าหมายเพื่อครองส่วนแบ่งตลาดโลก สำหรับเส้นใยประดิษฐ์เรยอนให้ได้ร้อยละ 6 ภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ จะทำการผลิตเส้นใยโมดาลซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับลูกค้าสิ่งทอระดับบน
สายการผลิตที่ 4 เริ่มการผลิตแล้วที่ 60% ของกำลังการผลิตในเดือนมกราคม 2550 และสามารถดำเนินการผลิตเต็มอัตราในเดือนกุมภาพันธ์ สายการผลิตที่ 4 นี้สามารถผลิตเส้นใยเรยอนทั่วไปได้ในอัตรา 80 ตันต่อวัน และสามารถเปลี่ยนมาผลิตเส้นใยโมดาล (คุณภาพสูงกว่าเส้นใยเรยอนทั่วไปตรงที่ไม่เปลี่ยนรูปเมื่อโดนความชื้น) ได้ในอัตรา 40 ตันต่อวัน บริษัท Grasim ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออดิตยาเบอร์ล่าเช่นกัน ผลิตได้ 10 ตันต่อวัน บริษัทคาดว่า ฐานการผลิตโมดาลจะย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งจะผลิตโดยไทยเรยอน ราคาเส้นใยโมดาลจะสูงกว่าเส้นใยเรยอนทั่วไป บริษัทคาดว่ารายได้จากการขายเส้นใยสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งพันล้านบาท จากอัตราการผลิตเพิ่มขึ้น
ส่วนโรงงานที่เมืองจีนซึ่งเป็นการร่วมทุนกับบริษัทในประเทศจีนก็จะเพิ่มผลการผลิตให้เป็น 60,000 ตันต่อปีภายในสิ้นปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทร่วมที่เมืองจีนก็ทำกำไรแล้ว การเข้าร่วมทุนในโรงงานที่จีนนี้คุ้มมากมากเกือบจะเรียกว่าได้โรงงานมาแบบได้เปล่า เพราะโรงงานเพิ่งสร้างใหม่ และราคาที่ซื้อถูกกว่าราคาที่สร้างใหม่
ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2549 ถึงปลายปี 2550 บริษัทคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 3.6 พันล้านบาท และ ต้องการเงินทุนหมุนเวียนอีก 1 พันล้านบาท ดังนั้นเงินสดที่มีอยู่ในมือไม่เพียงพอ จึงต้องทำการกู้เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นสำหรับในปีนี้
ปัจจัยหลัก ๆ ที่มีผลต่อผลประกอบการ คือ ราคา น้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และ การแข็งค่าของเงินบาท
ในปัจจุบัน มีเพียงบริษัทเล็นซิ่งจำกัด( Lenzing)เท่านั้นที่ผลิตเส้นใยโมดาลได้ โดยมีตลาดหลักอยู่ในยุโรป การผลิตเส้นใยโมดาลของไทยเรยอนจะทำให้ไทยเรยอนเจาะตลาดเอเชียได้โดยไทยเรยอนเริ่มทำการตลาดเส้นใยโมดาลมาประมาณ 1 ปีแล้ว อย่างไรก็ดี น่าจะเริ่มการขายเส้นใยโมดาลในเชิงพาณิชย์ได้ในราว ปลายปีนี้
บริษัทเล็นซิ่งจำกัดนั้นน่าจะเหนือกว่ากราซิมของอินเดีย เส้นใยประเภทพิเศษนี้จะนำไปใช้สำหรับ non-woven sector เช่น ทางด้านสุขภาพ หรือ ทางด้านการแพทย์ Grasim มีแบรนด์ที่ชื่อ Modal และกำลังวิจัยเพื่อพัฒนาเส้นใยพิเศษที่มีคุณสมบัติดีกว่า Modal ส่วน Lenzing นั้นมีแบรนด์ Lenzing Viscose และ Tencel ทั้งคู่
มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน คือ ฉีกหนีจากธุรกิจ commodity (เส้นใยเรยอนธรรมดา) มาเน้นหนักที่เส้นใยพิเศษซึ่งเจาะตลาด non-woven sector
ในปี 2005 สัดส่วนของเรยอนที่นำไปใช้ใน Textile Sector ต่อ Non-Woven คือ 91:9 ในปี 2007 สัดส่วน Textile:Non-Woven:Modal จะเป็น 82:7:11
ปีนี้กำลังการผลิตเส้นใยธรรมดาโดยรวมจะเท่ากับ 305 ตันต่อวัน (70+75+75+85) หรือ ประมาณ 110,000 ตันต่อปี ในปีที่แล้วไทยเรยอนสามารถรักษาอัตราการผลิตได้ที่ 220 ตันต่อวัน หรือ ประมาณ 80,000 ตันต่อปี การผลิตของไทยเรยอนนั้นเป็นการ Make-To-Order ลูกค้าส่วนมากเป็นลูกค้าเก่าแก่ของบริษัท ทำให้ไม่มีการตั้งหนี้สูญสำหรับลูกหนี้การค้า
บริษัทจะเพิ่มสายการผลิตที่ 5 โดยเริ่มต้นก่อสร้างอาคารแล้ว และคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จราวเดือนกุมภาพันธ์ 2551
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2549 ที่ประชุมคณะกรรม การบริษัทไทยเรยอน จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 63 ได้มีมติดังต่อไปนี้
1. อนุมัติเงินลงทุนจำนวน 3.2 ล้านเหรียญแคนนาดาดอลล่าร์ (ประมาณ 108 ล้านบาท) สำหรับการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 19,200 หุ้นของบริษัทเอวี เซล อิงค์ – ประเทศแคนนาดา ซึ่งมีผลทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.67 เป็นร้อยละ 19 และสัดส่วนการถือหุ้นรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมเบอร์ล่าในประอินเดีย/อินโดนีเซีย/และไทยรวมเป็นร้อยละ 75 จากเดิมร้อยละ 50 บริษัทร่วมลงทุนนี้ดำเนินธุรกิจผลิตเยื่อกระดาษชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับผลิตเส้นใยเรยอน
2. อนุมัติเงินลงทุนจำนวน 1.8 ล้านเหรียญแคนนาดาดอลล่าร์ (ประมาณ 61 ล้านบาท) สำหรับการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 9,000 หุ้นของบริษัทเอวีแนคคาวิค – ประ เทศแคนาดา ซึ่งมีผลทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 19 และสัดส่วนการถือหุ้นรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมเบอร์ล่าในประเทศอินเดีย/อินโดนีเซีย/และไทย รวมเป็นร้อยละ 75 จากเดิมร้อยละ 50 บริษัทนี้ได้มาเมื่อปี 2548 ปัจจุบันผลิตเยื่อกระ ดาษสำหรับผลิตกระดาษและกำลังจะแปรสภาพการผลิต เพื่อดำเนินการผลิตเยื่อกระดาษชนิดละลายน้ำได้ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับผลิตเส้นใยเรยอน
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้ทำการประชุมและมีมติอนุมัติเงินลงทุนจำนวน 137.50 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงสายการผลิตให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นและจำนวนเงิน 450 ล้านบาทเพื่อการติดตั้งสายการผลิตใหม่แทนสายการผลิตเดิมที่มีอายุการใช้งานมานานกว่า 30 ปี
สำหรับสายการผลิตเดิมที่จะทำการแทนที่ด้วยสายการผลิตใหม่นั้น คือสายการผลิตที่ 1 (ตั้งแต่ปี 1974) ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 70 ตันต่อวัน ในการติดตั้งสายใหม่แทนที่นั้นจะต้องทำการรื้อสายการผลิตเดิมออก แล้วติดตั้งสายการผลิตใหม่ซึ่งจะมีความสามารถในการผลิตเส้นใยเรยอนแบบธรรมดาประมาณ 100 ตันต่อวัน สายการผลิตใหม่จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตและการบำรุงรักษาลดลง นอกจากนี้สายการผลิตนี้ยังสามารถผลิตเส้นใยโมดาลได้ 40 ตันต่อวัน
รวม ๆ แล้ว ภายในกลางปีหน้า (ไตรมาสที่สาม
ปี 2008) บริษัทจะมีกำลังผลิตเส้นใยเรยอนประมาณ 153,000 ตันต่อปี (รวมสายการผลิต 5 สาย และ สายการ ผลิตที่ 1 ปรับปรุงแล้วเสร็จ) เทียบกับในปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตเต็มที่ประมาณ 110,000 ตันต่อปี (รวมสายการ ผลิต 4 สาย)
การลงทุนปลูกป่าในลาวเป็นโครงการระยะยาวคิดว่าอีก 6 ปีข้างหน้าจึงจะรู้ผล โดยในขณะนี้พื้นที่ที่ซื้อมาจะเอาไว้ปลูกป่ายูคาลิปตัส หลังจากปีที่ 6 จะมาวาง แผนอีกที ถ้าผลการปลูกประสบความสำเร็จ ก็จะสร้างโรงงานผลิตกระดาษเกรดที่จะเอาไว้ใช้ผลิตเส้นใยเรยอน ในปัจจุบัน กระดาษประเภทนี้นำเข้าจาก แคนาดา และ แอฟริกาใต้ อัตราการใช้เยื่อกระดาษต่อการผลิตไฟเบอร์จะประมาณ 1 ต่อ 1
บริษัทได้ก่อตั้งโรงงานผลิตก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์จากก๊าซธรรมชาติ (แทนที่ถ่านไม้) โดยมีกำลังการผลิต 20,000 ตันต่อปี จัดงบลงทุนไว้ 656 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มีนาคม 2008
หลังจากข้อมูลที่นำมาเผยแพร่ในครั้งนี้ซึ่งได้มาจากเวปไซด์
www.siamfn.com จะทำให้เพื่อนภาคภูมิใจในไทยเรยอนมากยิ่งขึ้น สมาชิกรู้จักไทยเรยอนมากขึ้นและรู้สึกด้วยเพราะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและหวังว่าความเจริญเติบโตของไทยเรยอนจะนำมาซึ่งชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราทุกคนด้วยเช่นกัน
ที่มา
http://www.trclabourunion.com/c831.html