- ต่อนะครับ -
ดร.สมเดชกล่าวว่า การติดต่อซื้อ-ขายบริการทางเพศบนอินเทอร์เน็ตจะทำผ่านเว็บไซต์ โดยเข้าไปที่กูเกิลแล้วค้นหาเว็บไซต์ขายบริการทางเพศก็จะมีข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆ มากมายให้เลือกใช้บริการหรือจะฝากข้อความเพื่อขายบริการก็ได้ โดยวิธีสมัครเพื่อโพสต์ข้อความหรือรูปภาพก็ง่าย สะดวก ไม่เสียค่าบริการ ผู้ขายบริการจะมีการนำรูปของตนเองมาโพสต์ลงเว็บไซต์ทำท่าทางที่ยั่วยวน พร้อมบอกสัดส่วน ความสามารถในการบริการ และให้เบอร์โทรหรืออีเมล์ติดต่อกลับ แต่ถ้าผู้ซื้อกลัวโดนหลอกก็สามารถซื้อได้ตามเว็บ Camfrog หรือ Webcam ที่มีการโชว์สรีระให้เห็น เมื่อตกลงจึงมีการนัดแนะสถานที่กัน บางรายอาจมีการโอนเงินให้ก่อนครึ่งหนึ่ง แล้วหลังใช้บริการจึงจะจ่ายส่วนที่เหลือ
“นักเรียนหญิงที่ขายบริการ บอกว่าครั้งแรกที่ตัวเองสมัครและโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพเพียงแค่ 10 นาทีก็มีคนเข้ามาติดต่อซื้อบริการแล้ว แต่ตัวเองจะพิจารณาดูก่อนว่าหน้าตาของคนที่ติดต่อเป็นอย่างไร และโทรศัพท์คุยกันเพื่อนัดพบก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขายบริการหรือไม่”
สถานที่นัดพบกันส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมม่านรูด หอพัก หรือไม่ก็สถานที่ที่ใกล้เคียงกับผู้ขาย โดยผู้ขายจะเป็นคนกำหนดเองว่าจะไปเจอกันที่ไหน เรื่องที่จะมีการใช้บริการต่อหรือไม่ นักศึกษาหญิงอาชีวะคนหนึ่งกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อว่าอยากจะเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ หรือเกิดติดใจก็จะมาใช้บริการอีก บางรายหากถูกใจมาก ก็จะมีการเลี้ยงดูเป็นเมียเก็บ โดยเช่าอพาร์ตเมนต์ให้และจ่ายเป็นรายเดือน โดยส่วนใหญ่มักจะมาใช้บริการอาทิตย์ละครั้ง
ดร.สมเดชกล่าวถึงสาเหตุที่ผู้ซื้อบริการนิยมใช้บริการนักศึกษา เพราะว่า ผู้ซื้อมองว่านักศึกษามีความรู้ สะอาด และเป็นการเพิ่มระดับ การซื้อบริการนักศึกษาย่อมดูดีกว่าการซื้อบริการหญิงขายบริการอาชีพที่ขายบริการทุกวัน แต่สำหรับนักศึกษา ผู้ซื้อเชื่อว่าไม่ได้ขายบริการทุกวัน โดยราคาในการบริการถ้าขายบริการไม่มีสังกัด จะสามารถต่อรองราคาได้ โดยจะประมาณ 1,000-5,000 บาทแล้วแต่หน้าตา
ทั้งนี้ ยังมีการขายบริการในเว็บไซต์ที่จำกัดคนเข้าชม คือจะต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะซื้อบริการได้ ซึ่งค่าสมัครประมาณ 800 บาทต่อปี เมื่อสมัครแล้วจะสามารถเลือกคนที่ต้องการจะซื้อได้ โดยจะมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบเหมือนสินค้าแบ่งตามเกรด จะมี 3 โซนให้เลือก คือ วีไอพีเมมเบอร์ และวีไอพีเมมเบอร์ล็อบบี้ ซึ่งสองโซนนี้ราคาค่อนข้างสูง เพราะมีการคัดสรรมาแล้ว ส่วนโซนสุดท้ายคือโซนไซด์ไลน์ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการบริการแบบเหมาจ่ายเป็นเดือน ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 20,000-30,000 บาทต่อเดือน โดยผู้ซื้อสามารถมีเพศสัมพันธ์กับผู้ขายได้ 8-10 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น
สำหรับปัจจัยที่ทำให้วัยรุ่นหญิงเลือกขายบริการทางเพศโดยใช้อินเทอร์เน็ต สาเหตุหลักเพราะเชื่อว่าเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เป็นความลับ ไม่ต้องไปขายบริการตามสถานบริการต่างๆ เป็นวิธีที่ลูกค้าติดต่อโดยตรงไม่ต้องผ่านเอเยนต์และได้ราคาดีกว่าการขายบริการผ่านช่องทางอื่น
ดร.สมเดชกล่าวถึงนักศึกษาที่ขายบริการว่า ส่วนมากมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีหรือปานกลาง แต่ทำเพราะรายได้ดีและหาเงินได้ง่ายๆ มีคำตอบนึงเขาบอกว่า มันมีความสุขไม่เหมือนกับขายตัวแต่เหมือนมี “กิ๊ก” ไม่มีการผูกมัดแล้วผู้ชายก็สุภาพ สิ่งที่น่าสนใจหลังจากที่ทำวิจัยเรื่องนี้ ผมไปถามเด็กว่าเชื่อไหมว่ามีการขายบริการทางเพศออนไลน์ คำตอบที่ได้คือ มีจริง 100% และในจำนวนนั้นก็มีผู้ชายหลายคนตอบว่าเคยใช้บริการ ส่วนผู้หญิงบางคนบอกว่ามีเพื่อนเคยขายบริการ และสถิติจากที่ผมทำวิจัย คนที่บอกว่ามีเพื่อนเคยขายตัวเองก็มีแนวโน้มที่จะขายด้วย
“ถามว่าผิดไหมที่ขายบริการทางเพศออนไลน์ ตอนเก็บข้อมูลทำวิจัย 52% บอกว่าไม่ผิด แล้วผมเอาคำถามนี้มาถามนักศึกษาต่อ ปี 2555 เด็กบอกว่าไม่ผิด 60% ปี 2556 บอกไม่ผิด 70% และปี 2557 บอกไม่ผิด 80% ผมใจหายเลยนะ เกิดอะไรขึ้น”
มีเด็กคนนึงตอบผมว่า “ของของหนู หนูจะนอนกับใครก็ไม่ได้ไปนอนบนหัวใคร ทำไมต้องมาเดือดร้อนด้วย หนูก็อุตส่าห์ทำลับๆ ล่อๆ ในอินเทอร์เน็ตแล้ว ทำไมต้องมายุ่งกับหนูอีก หนูไม่ได้ทำอะไรผิด” บางคนก็บอกว่า “ผิดตรงไหน เดือดร้อนใคร หนูว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล เขาขายตัวก็ตัวของเขา” หรือ “ขายบริการทางเพศไม่ได้ก่ออาชญากรรม ไม่ได้ฆ่าใคร ผิดตรงไหนเหรอ” ขนาดผมบอกว่ามันผิดศีลธรรมผิดกฎหมาย เขายังตอบกลับมาว่า “ผิดอะไร หนูเคยเสียตัวแล้วนี่ไม่ได้ขาย ก็แฟนคนนึงเป็นกิ๊กไง รักกันแล้วก็ให้เงินใช้ก็ถือว่าโอเค”
ดร.สมเดชกล่าวต่อว่า “ผมเลยสอนนักศึกษาว่า จะเล่าเรื่องนึงให้ฟัง จิ๋มนี้ไม่ใช่จิ๋มหนู คุณว่าจิ๋มนี้ของคุณเหรอ คุณกล้ากลับบ้านไปบอกพ่อแม่ไหม ว่าแม่หนูขายตัวออนไลน์ เนี่ยมีลูกค้า 4-5 คนแล้วที่นอนกับหนู เดือนนึงได้ 20,000 บาท เด็กก็ตอบว่า โอ้ยใครจะไปกล้าบอก พ่อแม่เสียใจหมด เพราะงั้นที่บอกว่า จิ๋มของหนูมันไม่ใช่นะ ของแม่ของพ่อที่สร้างหนูขึ้นมา พ่อแม่จะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าลูกสาวขายตัว เอาใหม่ ถ้าคุณแต่งงานไปมีสามี จะกล้าบอกสามีไหมว่าก่อนจะแต่งงาน เคยขายตัวออนไลน์มาก่อน คนที่มางานแต่งก็ลูกค้าเราทั้งนั้น เพื่อนเธอก็เคยนอนกับเรามาแล้ว คุณกล้าพูดไหม เพราะงั้น หนูแคร์สามี จิ๋มนี้ก็ไม่ใช่จิ๋มหนู จิ๋มสามีหนูอีกคน”
“ถ้าหนูมีลูก กล้าบอกลูกไหม ก่อนที่ลูกจะเกิดแม่เคยขายตัวออนไลน์นอนกับผู้ชายมาเป็นร้อยคน กล้าบอกลูกไหม แล้วลองย้อนกลับกัน ถ้าวันนึงแม่หนูมาสารภาพว่า ก่อนจะมีหนูแม่เคยขายตัวออนไลน์ แม่เคยเป็นโสเภณีมาก่อน หนูในฐานะลูกจะรู้สึกยังไง เพราะฉะนั้น จิ๋มนี้ไม่ใช่จิ๋มหนู จำเอาไว้ว่าเราต้องรักษาศักดิ์ศรี”
ดร.สมเดชกล่าวว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของการขายบริการทางเพศ เพราะยังผิดกฎหมายอาญาคดีการค้าประเวณี และผิดศีลธรรม คือความรู้สึกที่มันทำร้ายศักดิ์ศรีของตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วนักศึกษาที่ขายบริการไม่มีใครไปบอกเขาว่าที่ทำอยู่มันเป็นตราบาป เขาแค่คิดว่าได้เงิน สนุก เคยเสียตัวแล้ว แต่แท้จริงแล้วมันคือตราบาปที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตเขาจนวันตาย ซึ่งพอผมทำวิจัยแล้วก็ทำให้เข้าใจวัยรุ่น เข้าใจสภาพในสังคมที่เป็นสังคมบริโภคมากขึ้น
การที่ค่านิยมในสังคมไทยไม่ได้วัดคุณค่าของคนอยู่ที่คุณงามความดี แต่วัดค่าอยู่ที่คุณรวยไหม เรื่องแบบนี้จะไปโทษเด็กก็ไม่ได้ อยู่ที่สังคมทั้งสังคม ลองคิดดูเราขับรถเบนซ์มาก็จะได้รับการดูแลอย่างดี ถ้านั่งรถเมล์มาก็จะเป็นอีกแบบ เพราะฉะนั้นเด็กวัยรุ่นก็มองว่าค่านิยมในการวัดความสำเร็จคือสิ่งของที่จับต้องได้ คือการที่เขามีเงิน สังคมก็จะยอมรับ เพื่อนก็จะยอมรับ เขาก็มีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเลี้ยงเพื่อน แต่เบื้องหลังเขาไปนอนขายบริการ
“ผมก็ได้ทำวิจัยต่อคือเรื่องคุณภาพชีวิตของนักศึกษาขายบริการ ก็ตามติดคุณภาพชีวิตของนักศึกษาที่ขายบริการ 15 คนในเวลาหนึ่งปี ผมพบว่าใน 15 คนไม่มีใครรู้สึกสำนึกผิดเลยซักคน เขาบอกดีมาก มีความสุข มีเงินใช้จ่ายซื้อของแบรนด์เนม มีรถขับ มีคอนโดอยู่ ผมทำเสร็จแล้วนะแต่ไม่เขียน รู้สึกใจหายกับสังคมว่าทำไมเด็กไม่สำนึกในสิ่งที่ทำอยู่”
ดร.สมเดชมองว่า ปัญหาของวัยรุ่นไทยกับการขายบริการทางเพศบนสื่ออินเทอร์เน็ตไม่อาจจะแก้ไขได้ด้วยการรับรู้รับทราบเพียงอย่างเดียว เพราะว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้ลดน้อยลงจากการเป็นข่าว ปัญหามันหยั่งลึกเสียจนทุกคนในสังคมต้องกระโดดลงไปหามันเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของเรา เพื่อนำเอาความจริงออกมาตีแผ่ ทุกสถานที่ ทุกเรื่องราว คือภาพเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยวันนี้
“ปัญหานี้เป็นเหมือนการสะท้อนให้เห็นถึงสุดยอดของความเหลวแหลกของสังคม และสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจของคนในสังคมเดียวกันที่ปล่อยปละละเลยโดยไม่ทำการใดๆ อย่างจริงจังที่จะหยุดยั้งและแก้ไขขจัดสภาวะทางสังคมที่เลวร้ายนี้ให้หมด”