หุ้นเรือ เซ็งลี้ฮ้อ
*หลังตรุษจีนอุตฯ จีนเริ่มเดินเครื่อง
จับตาหุ้นเดินเรือพาเหรดคึกครื้น เซียนหุ้นทำนายดัชนีค่าระวางเรือพุ่ง หลังผ่านเทศกาลตรุษจีน
เชื่อกลุ่มเดินเรือได้ประโยชน์เต็มๆ จากปริมาณขนส่งเพิ่ม ออร์เดอร์ทะลักจากอุตสาหกรรมจีนเริ่มเดินเครื่อง เปิดสถิติเชิงปริมาณ 9 ใน 10 ปีที่ผ่านมา สินค้าโภคภัณฑ์เด้งรับตรุษจีน เชียร์เก็งกำไร TTA - PSL - RCL น่าสนใจ
ธุรกิจเดินเรือถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญในวงล้อเศรษฐกิจไทย และที่ผ่านมาถือเป็นธุรกิจที่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จับตามอง โดยเฉพาะหากมีความเปลี่ยนแปลงของดัชนีค่าระวางเรือ (Baltic Dry Index : BDI) เนื่องจากจะมีการซื้อเก็งกำไรรายตัวในหุ้นกลุ่มดังกล่าว
โดยดัชนีค่าระวางเรือนั้นมีความสัมพันธ์กับหุ้นกลุ่มเดินเรืออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะกลุ่มเรือเทกอง อย่างบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL และบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เนื่องจากราคาตกลงซื้อขายสัญญาจะเกี่ยวโยงกับดัชนีค่าระวางเรือ แต่ขณะเดียวกันแม้กลุ่มเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์อย่าง บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL และบริษัทต่อเรืออย่าง บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASIMAR จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็มีผลต่อจิตวิทยานักลงทุนเช่นกัน
โดยการสำรวจดัชนีค่าระวางเรือ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปิดที่ 2,706 จุด ลดลง 16 จุด เปลี่ยนแปลง -0.59% โดยดัชนีค่าระวางเรือเป็นดัชนีฯ ที่เป็นตัวแทนของ
ค่าระวางเรือโดยรวม โดยเฉพาะในเรือขนาดใหญ่
รายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มเดินเรือ พบว่าวานนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2553) ราคาหุ้น PSL ปิดที่ 19.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 1.58% มูลค่าการซื้อขาย 19.69 ล้านบาท, ราคาหุ้น RCL ปิดที่ 9.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.04% มูลค่าการซื้อขาย 3.99 ล้านบาท, ราคาหุ้น TTA ปิดที่ 24.70 บาท ลดลง 0.55 บาท หรือ 2.18% มูลค่าการซื้อขาย 289.19 ล้านบาท และราคาหุ้น ASIMAR ปิดที่ 0.85 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 1.16% มูลค่าการซื้อขาย 0.13 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายประเมินว่าหลังจากเทศกาลตรุษจีนผ่านพ้นไป ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ดำเนินการผลิตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะกลับมาเดินเครื่องผลิตอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลดีธุรกิจกลุ่มเดินเรือ ให้มีปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านทางเรือมากขึ้น โดยจากสถิตินักวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่า 9 ใน 10 ปี ราคาสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มนี้ มักปรับตัวขึ้นหลังวันตรุษจีนเสมอ ฉะนั้นต้องจับตาการเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มเดินเรือใกล้ชิด
****บล.เอเซียพลัส ชี้ BDI ฟื้นตัวหลังตรุษจีน เปิดโผ 9 ใน 10 ปีที่ผ่านมา สินค้าโภคภัณฑ์เด้งรับตรุษจีน เชียร์นลท.เก็งกำไรหุ้นเกี่ยวข้อง TTA - PSL - RCL เด่น
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ฝ่ายวิจัยเชื่อมั่นว่าดัชนีค่าระวางเรือ หรือ BDI spot จะเริ่มฟื้นตัวหลังจากเทศกาลตรุษจีน จากการกลับมาดำเนินการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในจีนอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นช่วงของการหยุดเฉลิมฉลองช่วงปีใหม่สากลต่อเนื่องมาจนถึงวันตรุษจีน ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งจะส่งผลให้มีการกลับมาเร่งนำเข้าสินแร่เหล็ก และถ่านหิน ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องใช้เรือเทกองในการขนส่งเป็นหลัก โดยล่าสุดพบว่า BDI ยังคงทรงตัวที่ 2706 จุด ต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 3 หลังจากที่ตกต่ำติดต่อกันนานกว่า 2 เดือน โดยลดลงกว่า 42% ประกอบกับจากการศึกษาข้อมูลย้อนหลังไป 10 ปีของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่า 9 ใน 10 ปี ราคาสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มนี้ มักปรับตัวขึ้นหลังวันตรุษจีนเสมอ จากเหตุผลดังกล่าวเชื่อว่านักลงทุนมีโอกาสเก็งกำไรในหุ้นที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม แนะนำสะสมเรือเทกอง โดยเฉพาะ TTA ที่ได้ประโยชน์จากค่าระวางเรือเทกองขาขึ้นสูงสุด และ PSL ที่จ่ายเงินปันผลสำหรับงวดไตรมาส 4/2552 หุ้นละ 0.6 บาท และขึ้นเครื่องหมาย XD 12 กุมภาพันธ์นี้ รวมถึงเรือขนส่วนตู้คอนเทนเนอร์อย่าง RCL ซึ่งนอกจากดัชนี Howe Robinson Index ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นเดินเรือทั่วโลกจะฟื้นตัวต่อเนื่องตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาแล้ว อีกทั้งเป็นหุ้นไม่กี่บริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการค้าอาเซียน (AFTA)
****บล.เคจีไอ เชื่อหลังตรุษจีน 1 - 2 สัปดาห์ ค่าระวางเรือขยับขึ้น เชื่อทะลุ 2700 จุดไปกว่าจบไตรมาส 1/53
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ในระยะนี้ถือว่าค่อนข้างซบเซา แต่หากผ่านช่วงวันตรุษจีนไปอีกระยะ 1-2 สัปดาห์ คาดว่าภาพรวมพื้นฐาน BDI จะดีขึ้น จากการความคาดหวังเรื่องการเจรจาแร่เหล็ก ประกอบกับความต้องการใช้แร่เหล็กน่าจะปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย ดังนั้นดัชนีฯ จะปรับสูงขึ้นจากปัจจุบันทรงตัวอยู่ที่ 2706 จุด ไปจนกว่าสิ้นไตรมาส 1/53 ดังนั้นหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น
โดยเฉพาะ TTA ที่แนะนำให้ซื้อ เนื่องจากได้ล็อกค่าระวางเรือไว้น้อย รวมทั้ง PSL ที่จะได้รับประโยชน์ในเชิงจิตวิทยา แต่มองว่ายังคงต้องรอให้ PSL ทำการซื้อเรือเพิ่มเติมก่อน จากที่ขณะนี้ PSL ได้ทำการขายเรือไปเกินกว่าครึ่งแล้ว
อย่างไรก็ดี การปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจไม่คงทนถาวรนัก เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ยังไม่ดีมาก อีกทั้งเป็นเพียงการปรับขึ้นจากปัจจัยฤดูกาลเป็นหลักเท่านั้น
****บล.บัวหลวง คาด มี.ค.นี้ ค่าระวางเรือวิ่งแรงอีกครั้ง หลังได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน
บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า หากมองข้ามไปยังช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 2/53 (มกราคม - มีนาคม 2553) คาดว่าอัตราค่าระวางเรือจะลดลงในไตรมาส 1/53 (ตุลาคม - ธันวาคม 2552) เนื่องจากเป็นการสิ้นสุดของฤดูซื้อขายผลิตผลทางการเกษตรของสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในสินค้าโภคภัณฑ์ของจีนและอุปสงค์ในการขนส่งทางเรือจะช่วยผลักดันค่าระวางเรือ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน โดยคาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นของค่าระวางเรืออีกครั้งในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับการซื้อขายผลิตผลทางการเกษตรในอเมริกาใต้
ทั้งนี้ คาดว่าจะรายงานผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 2/53 โดยแม้ค่าระวางเรือจะลดลงในช่วง ม.ค.-มี.ค. ยังคาดว่า TTA จะรายงานผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 2/53 โดยปัจจัยหนุนคือ 1) จำนวนวันเดินเรือที่เพิ่มขึ้น 2) ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษสำหรับธุรกิจเดินเรือ และ 3) ส่วนแบ่งกำไรจาก Mermaid Maritime ที่มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แนะนำซื้อเก็งกำไร TTA เป้าหมายพื้นฐาน 33 บาท
****บล.กรุงศรีอยุธยา คาดค่าระวางเรือเข้าสู่จุดต่ำสุดปี 54 - ชี้ TTA เสี่ยงน้อยสุด หลังมีธุรกิจอื่นหนุน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในปีนี้อุตสาหกรรมเดินเรือน่าจะดีกว่าในปี 2552 เพราะในปีก่อนเศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว แต่ยังเชื่อยังไม่ได้กลับไปเช่นในปี 2551 ซึ่งค่าระวางเรือในปีนี้อาจจะยังไม่ถึงจุดต่ำที่สุด แต่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่จุดต่ำสุดในปี 2554
โดยบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเดินเรือที่น่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด คือ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA) เพราะมีสัดส่วนรายได้จาก Mermaid ประมาณ 60% เข้ามาช่วยลดความเสี่ยงกรณีเรือเทกองที่จำนวนวันลดลง และค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน
"ปีนี้ค่าระวางเรีอน่าจะทรงตัว แต่เชื่อว่าในปีนี้ยังไม่ใช่จุดต่ำสุด น่าจะเห็นจุดต่ำสุดในปี 54 เราเชื่อว่า TTA น่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะมีธุรกิจอื่นเข้ามาช่วย แต่ถ้าจะเห็นการฟื้นตัวของค่าระวางเรือที่ขึ้น น่าจะเห็นได้ในช่วง มิ.ย. หรือ ถ้าเป็นหารรีบาวน์น่าจะเป็นการรีบาวน์ตามเทคนิค"นักวิเคราะห์ กล่าว
ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิ TTA ในปี 2553 อยู่ที่ 1,800 ล้านบาท ทรงตัวจากในปี 2552 โดยยังมีความเสี่ยงจากค่าระวางเรือที่ยังไม่นิ่ง และจำนวนเรือที่เข้ามาใหม่ สวนทางกับความต้องการที่ค่อยๆ ฟื้นตัว โดยประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 32 บาท
**** บล.โกลเบล็ก เชียร์ซื้อ PSL จับตาซื้อเรือมือสองเสริมทัพ ให้เป้าหมาย 21 บ.
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า คาดการณ์ผลประกอบการปี 2553 ยังคงมีทิศทางปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2552 เนื่องจากจำนวนกองเรือเฉลี่ยที่ลดลงอย่างมาก โดยปัจจุบัน PSL มีจำนวนกองเรือรวมทั้งสิ้น 23 ลำ ซึ่งจะลดลงเมื่อเทียบกับจำนวนเรือเฉลี่ยในปี 2552 ที่อยู่ที่ประมาณ 33 ลำ ขณะที่อัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยปี 53 ยังมีทิศทางที่ปรับตัวลดลง จากการทำค่าเช่าเรือล่วงหน้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2552 ซึ่งคาดกำไรปี 2553 ที่ 1,770 ล้านบาท ลด
ลง 42% YoY
ทั้งนี้ คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกปี 2553 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ แต่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง หลังแผนการปรับลดกองเรือแล้วเสร็จ รวมทั้งหากแผนการรับมอบเรือใหม่ในปี 2553 จำนวน 3 ลำเป็นไปตามแผน อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีโอกาสในการรับมอบเรือใหม่ล่าช้าออกไปได้ ขณะที่ PSL ยังคงอยู่ระหว่างการหาซื้อเรือมือสองทดแทน ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดได้หากมีการซื้อเรือมือสองเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ด้านดัชนีค่าระวางเรือ BDI ในปี 2553 คาดว่าโดยเฉลี่ยจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2552 แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะยังคงถูกกดดันจากจำนวนกองเรือใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการในปี 2554 จะเริ่มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยจะได้ผลบวกจากจำนวนกองเรือของ PSL ที่จะทยอยเพิ่มขึ้น ขณะที่คาดว่าอัตราค่าระวางเรือจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดี
ทั้งนี้ แนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว ราคาเป้าหมาย 21 บาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในปี 2554 โดยประเมินราคาเหมาะสมในปี 2553 ที่ 21 บาท ทั้งนี้ ระยะสั้นอาจได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายของปี 2552 อีก 0.60 บาทต่อหุ้น (XD 12 ก.พ.2553) ซึ่งรวมทั้งปี 2552 จ่ายเงินปันผลทั้งสิ้น 1.80 บาทต่อหุ้น สำหรับปี 2553 คาดจะจ่ายเงินปันผลรวม 1 บาทต่อหุ้น
****บล.ยูไนเต็ดชี้ RCL ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในปี 52 แนะนลท. รอซื้อเมื่ออ่อนตัว เป้าหมาย 16.40 บ.
บทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด ระบุว่า ปริมาณขนส่งเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ดีนัก แต่ถ้าเทียบกับเดือน พ.ย. ที่ปรับตัวลดลงถึง 17%YoY ก็ถือว่าดีขึ้นพอควร ขณะที่ค่าระวางในไตรมาส 4/2552 ยังอยู่ทรง ๆ ที่ระดับเดิม โดยมองว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/2552 ยังจะไม่ดีนัก แต่สำหรับปี 2553 มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยกระตุ้นให้ปริมาณขนส่งกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะคาดว่าเห็นการฟื้นตัวอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่าจะช่วยฉุดค่าระวางให้ปรับตัวขึ้นได้ โดยคาดผลประกอบการในปี 2553 จะพลิกกลับมากำไรจากที่ขาดทุนในปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการเรือคอนเทนเนอร์ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้ ผลดารดำเนินงานในปี 2552 จะเป็นช่วงต่ำสุดแล้ว และจะฟื้นตัวในปีนี้ โดยให้ราคาปัจจัยพื้นฐานปี 2553 ที่ 16.40 บาท แนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว
****บิ๊ก TTA ฟุ้งรายได้ - กำไรปี 53 ดีกว่าปี 52 หลังรับทรัพย์จากกิจการที่ซื้อมา ทั้งเหมืองถ่านหิน และรุกธุรกิจที่เวียดนาม
ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA กล่าวว่า แนวโน้มกำไรสุทธิและรายได้ปี 2553 จะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2552 เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ เข้าไปซื้อกิจการใหม่ ซึ่งเป็นตัวเสริมผลการดำเนินงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจเหมืองถ่านหินที่ฟิลิปปินส์ ธุรกิจที่เวียดนาม ซึ่งเป็นธุรกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่มีคลังสินค้า เพื่อต่อยอดจากธุรกิจด้านโลจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจปุ๋ยที่ยังมีแนวโน้มการทำกำไรได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้และกำไรจากการที่บริษัทฯ เข้าไปถือหุ้นของ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) ( UMS ) ที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตขึ้น โดยในปีนี้ UMS มีต้นทุนในเรื่องค่าใช้จ่ายสูง จากการทำสัญญาล็อกค่าระวางเรือไว้ โดยสัญญาดังกล่าวจะครบกำหนดในช่วงปลายปีนี้จนถึงม.ค. 2553
ขณะที่ธุรกิจบริษัท เมอร์เมด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจด้านพลังงานมีโอกาสที่จะขยายการลงทุนเพิ่มมากขึ้น จากแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าที่ประเมินว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 75 - 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับแนวโน้มของภาพรวมธุรกิจเดินเรือในปี 2553 จะยังคงทรงตัวจากปีนี้ ซึ่งคาดว่าค่าระวางเรือในปีหน้าจะใกล้เคียงกับปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.1 หมื่นดอลลาร์ต่อวันต่อลำ เนื่องจากอุปทานของเรือยังมีอยู่จำนวนมากเมื่อเทียบกับอุปสงค์ความต้องการเรือที่อยู่ในระดับต่ำ
****บิ๊ก ASIMAR ตั้งเป้าโกยรายได้ปี 53 แตะ 1 พันลบ. เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่คาดทำได้ประมาณ 400 ลบ.
แหล่งข่าวผู้บริหารระดับสูง จากบริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASIMAR กล่าวว่า ในปี 2553 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่คาดว่าจะทำได้ประมาณ 400 ล้านบาท ในขณะเดียวกันยังคาดว่ามีโอกาสพลิกเป็นกำไรจากปีก่อนที่ผลประกอบการอาจขาดทุน หลังผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรก ขาดทุนอยู่ที่ 36.97 ล้านบาท
ส่วนในปีนี้ภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าที่ชะลอการสั่งต่อเรือเริ่มกลับมาเจรจาและทำสัญญาว่าจ้างให้บริษัทต่อเรือและซ่อมให้ โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการว่าจ้างจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้ดำเนินการต่อเรือลากจูง ขนาดกำลังฉุดไม่น้อยกว่า 30 เมตริกตัน จำนวน 1 ลำ และเรือลากจูงขนาดกำลังฉุดไม่น้อยกว่า 40 เมตริกตัน จำนวน 1 ลำ ความยาวตลอดลำ 32.00 เมตร ความกว้าง 10.50 เมตร มูลค่างานรวม 533,448,500 บาท โดยมีระยะเวลาต่อประมาณ 2 ปี ซึ่งงานดังกล่าวจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2553
"ปี 53 แนวโน้มรายได้หรือผลประกอบการโดยรวมคงดีกว่าปี 2552 แน่นอน เพราะตอนนี้บริษัทฯ มีงานต่อเรืออยู่จำนวน 3 ลำ มูลค่ารวม 600 ล้านบาท ซึ่งรับรู้รายได้ไปแล้วในปี 52 มูลค่า 50 ล้านบาท ที่เหลือรับรู้รายได้ในปีนี้และปีถัดไป นอกจากนี้ยังมีดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนอู่ต่อและซ่อมเรือของบริษัทฯ มีศักยภาพในการรับเรือได้ 5-6 ลำ" แหล่งข่าวรายเดิม กล่าว
ที่มา
https://www.efinancethai.com/hotnews/hot/h_100210h.asp 