อีกข่าว สาวชาวจีนเสียชีวิตจากการถูกไฟช็อตขณะรับโทรศัพท์มือถือจากกรณีแอร์โฮสเตสสาวชาวจีนเสียชีวิตจากการถูกไฟช็อตขณะรับโทรศัพท์มือถือที่กำลังชาร์จแบตฯ ซึ่งยังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อยู่ว่าเกิดจากการใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ ล่าสุดก็มีหนุ่มชาวจีนถูกไฟฟ้าช็อตขณะหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังชาร์จแบตเตอรี่ขึ้นมาดูจนอาการโคม่า ซึ่งกรณีหนุ่มชาวจีนนี้ตรวจสอบแล้วพบว่าใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงต้องมีการค้นหาข้อเท็จจริงกันต่อไป
แต่ในทางกลับกันถ้าเราหันมาทำความรู้จักระบบวงจรไฟฟ้าและไม่ประมาทในเรื่องของการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งศึกษาวิธีป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยเชื่อว่าปัญหาลักษณะดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ดร.บุญยัง ปลั่งกลาง อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ให้ความรู้ว่า โดย หลักการไฟฟ้ามีอยู่ 2 แบบ คือ ไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับ ส่วนใหญ่แล้วโทรศัพท์มือถือจะใช้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงทั้งหมด ซึ่งจะมีขั้วบวก ขั้วลบ เหมือนถ่านไฟฉายที่เราใช้กันอยู่ โดยก้อนหนึ่งมีขนาด 1.5 โวลต์ ส่วนโทรศัพท์มือถือใช้กระแสไฟ 5 โวลต์ ดังนั้นโทรศัพท์มือถือทุกยี่ห้อไม่มีอันตราย เหมือนเอาถ่านไฟฉายหลาย ๆ ก้อนมาจับรวมกัน
แต่ที่มีปัญหาเกิดขึ้นคือไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นไฟฟ้าที่ใช้ทั่วไปตามบ้าน มีเป็นลูกคลื่นไซน์เวฟ (Sine Wave) มีกระแสบวกและลบอยู่ในตัว ระบบไฟฟ้าในบ้านเราจะแบ่งเป็น 1 เฟส หรือ 3 เฟส ซึ่งระบบ 1 เฟส จะมี 2 สาย ประกอบด้วย “สาย” หรือ “LINE” มีไฟ 1 เส้น และ “สายนิวตรอน” (Neutral) ไม่มีไฟ 1 เส้น มีแรงดันไฟฟ้า 220–230 โวลต์ มีความถี่ 50 เฮิรตซ์ (Hz) ปกตินิวตรอนต่อลงพื้นดิน หมายความว่าทุกวันนี้เราเหยียบพื้นดินก็เหมือนเหยียบสายหนึ่งของไฟฟ้าเสมอ ฉะนั้นถ้ามือหนึ่งไปโดนสายอีกสายหนึ่งและเท้าเหยียบพื้นดินอยู่ กระแสจะไหลจากสายมาสู่ตัวเราเพื่อกลับให้ครบวงจร เป็นหลักธรรมชาติของไฟฟ้าที่พยายามจะวิ่งให้ครบวงจร
ดังนั้นประเด็นที่เกิดไฟฟ้าช็อตขึ้นคือเกิดจากไฟฟ้ากระแสสลับที่เราใช้อยู่ในบ้านที่ใช้ไฟฟ้าขนาด 220 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิรตซ์ หมายความว่าในเวลา 1 วินาทีมีความเสี่ยงอยู่ 50 เฮิรตซ์ ซึ่งความถี่ในที่นี้ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ต้องกะพริบ 50 เฮิรตซ์แต่ว่าตาเรากะพริบไม่ทันจึงมองไม่เห็น หากลองเอาพัดลมมาหมุนจึงจะเห็นเพราะความถี่พัดลมเท่ากันกับหลอดไฟ แสดงให้เห็นว่าไฟฟ้าที่เราใช้อยู่เป็นกระแสสลับ ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก แล็ปท็อป เป็นไฟฟ้ากระแสตรง เวลาใช้จะมีอะแดปเตอร์เปลี่ยนให้เป็นกระแสตรง ซึ่งอันตรายน้อยเพราะใช้ไฟประมาณ 19.5 โวลต์ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือใช้แค่ 5-10 โวลต์ ยิ่งถือว่าน้อยมาก
อย่างไรก็ตามความอันตรายอยู่ที่ไฟฟ้ากระแสสลับ คือ 1. แรงดันที่มีหน่วยเป็นโวลต์ (Volt) กับกระแสไฟฟ้าที่ไหลลงวงจรเรียกว่า I ซึ่ง I คือกระแสที่เกิดในวงจรไฟฟ้า มีหน่วยเป็นแอมป์เพื่อจะไหลผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้า ถ้าเป็นคนก็ไหลผ่านคนทำให้เสียชีวิตในเวลาที่กำหนด ซึ่งแรงดันเหมือนส่วนที่พยายามผลักให้กระแสไหล เช่น สมมุติเรานำแท็งก์น้ำขึ้นที่สูงความดันก็สูง เวลาเจาะรูน้ำก็จะไหลแรง ซึ่งสมมุติน้ำที่ไหลอยู่ในสายยางคือกระแสไฟฟ้า ถ้าแท็งก์ต่ำ ๆ น้ำก็ไหลเบา กระแสไม่อยากเข้ามาที่เรา และถ้าสมมุติคนเป็นท่อน้ำ หมายความว่าแรงดันยิ่งสูงการที่ไฟฟ้าจะวิ่งมาหาเรายิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น เช่น ไฟฟ้าแรงสูง 500 KV คือ 500,000 โวลต์ ถ้าไปอยู่ใกล้ไฟฟ้าพร้อมที่จะวิ่งมาหาเราผ่านฉนวนที่เป็นอากาศ
จึงสังเกตได้ว่าคนที่โดนไฟช็อตบางคนตายบางคนไม่ตาย แต่มือไหม้ หมายความว่า ถ้าเอามือไปจับไฟฟ้าแรงสูงแล้วเอาออกทันก็เท่ากับตัดวงจรไฟฟ้าไป แต่ที่โดนไฟฟ้าไปแล้วก็จะไหม้ ส่วนคนที่ตายเพราะกระแสไฟฟ้าผ่านหัวใจภายในเวลา 1 วินาที จึงทำให้ตาย ดังนั้นเวลาสอนนักศึกษาจะสอนว่าถ้าอยากรู้ว่ามีไฟฟ้ารั่วหรือไม่ ให้ใช้หลังมือแตะ เพราะเมื่อไหร่ที่กระแสไฟฟ้าวิ่งมาโดนเราจะได้ดึงมือออกทัน หากใช้หน้ามือแตะตามธรรมชาติของมือเราจะกำหากถูกไฟฟ้าช็อต ซึ่งการใช้โทรศัพท์ก็เช่นกัน โดยเฉพาะหลาย ๆ รุ่นโครงมีโลหะ พอใช้สายที่เราเสียบชาร์จที่เรียกว่า ’อะแดปเตอร์“ เป็นตัวแปลงจากไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรงแรงต่ำ หากมันเกิดการทำงานผิดพลาด เช่น ช็อตหรือหลอมละลาย แล้วไฟฟ้าแรงดันกระแสสลับทะลุมาสู่แรงดันกระแสตรง ลองคิดง่าย ๆ ว่าไฟฟ้าขนาด 220 โวลต์มารอจ่ออยู่พอเราเสียบแน่นอนว่ามือถือไม่เป็นอะไรเพราะปกติจะมีระบบป้องกันอยู่แล้ว ทำให้กระแสไฟไหลเข้าสู่โพรงซึ่งเป็นโลหะ เมื่อเราเอามือมาแตะกระแสไฟฟ้าจะผ่านเข้าตัวเราและไหลลงพื้นดิน ทำให้เราเสียชีวิตได้ เพราะไฟไหลครบวงจร
การชาร์จแบตเตอรี่บางครั้งอาจจะชาร์จอยู่แต่อะแดปเตอร์ทำงานผิดพลาดไปแล้วและวางชาร์จอยู่โดยไม่ได้มาดูตลอด เมื่อภายในเกิดการพังทลายขณะที่เราเอามือมาจับพอดีก็จะถูกช็อตได้ นอกจากนี้เวลาจับดูแล้วรู้สึกว่าตัวอะแดปเตอร์มีความร้อนมากเกินไปหรือเสียบแล้วไฟไม่เข้าอย่าไปฝืน ถ้าเรามั่นใจว่าเสียบปลั๊กแน่นแล้วไฟไม่เข้าก็แนะนำให้ทิ้งเลย อย่านำไปซ่อมเพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถ้าเสียแล้วถามว่าซ่อมได้หรือไม่ ก็ตอบว่าซ่อมได้แต่ถ้าแกะออกมาซ่อมแล้วจะไม่เหมือนเดิม อีกทั้งราคาไม่แพงซื้อใหม่ได้ก็จะดี
ที่สำคัญที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่จะไม่มีหม้อแปลงไฟฟ้าเหมือนสมัยก่อน ที่การทำงานแยกกันอย่างชัดเจนมีอันตรายน้อยกว่าแต่จะใหญ่เทอะทะ ส่วนปัญหาไฟฟ้ารั่วเข้าโพรงซึ่งเป็นโลหะของโทรศัพท์ขณะกำลังชาร์จไฟ ถ้าจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์จริง ๆ ควรใส่เคสหรือกรอบเป็นพลาสติกสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะปกติถ้าเราชาร์จแบตเตอรี่อยู่แล้วคุยโทรศัพท์ไปด้วยจะกินกระแสไฟมากกว่าปกติ ส่งผลให้ตัวชาร์จพังได้เร็วกว่าปกติ ฉะนั้นบางครั้งเมื่อเสียบชาร์จแล้วคุยโทรศัพท์ไปด้วยอาจจะยังไม่รั่ว แต่เมื่อใช้มาก ๆ เข้าอาจจะรั่วได้ กรณีของสาวชาวจีนน่าจะเป็นเหมือนเคสนี้ที่คุยตอนแรกน่าจะยังไม่เสีย ยังคงชาร์จได้ปกติ แต่พอโทรศัพท์ไปได้ระยะหนึ่งอาจจะไหม้จากภายในและละลายออกมาข้างนอก จึงทำให้เสียชีวิตช่วงคุยโทรศัพท์
ลักษณะการถูกไฟฟ้าช็อตแบบนี้เชื่อว่าเกิดขึ้นบ่อย แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต เพราะตามธรรมชาติของร่างกายเราเวลาถูกไฟช็อตจะกำมือ ลักษณะที่เราถือโทรศัพท์มือถืออยู่เหมือนกำ บางคนอาจแค่จับหรือแตะก็ดึงมือออกมาทันเหมือนกรณีหนุ่มชาวจีนที่หยิบโทรศัพท์ขณะชาร์จมาดูและดึงมือออกทันจึงไม่เสียชีวิตแต่อาการสาหัส ดังนั้นไฟฟ้าเหมือนงูพิษ ตอนนี้เราทุกคนมีงูพิษอยู่ในบ้านตลอดพร้อมที่จะฉกเมื่อไหร่ก็ได้ หากเราไม่ระมัดระวัง ประมาท และไม่มีความรู้.
ที่มา
http://www.dailynews.co.th/Content/Article/178089/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8+%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89...%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%97 