ใช่ๆ เมื่อวานรถติดมาก... ผมไปถึงก็กำลังเปิดการประชุมอยู่พอดีเลย... เฮ้อ...
ก่อนอื่นที่จะลงรายละเอียดการประชุม ก็ขอออกตัวก่อนนะครับ ว่าที่กำลังจะเขียนต่อไปนี้ มาจากความทรงจำล้วนๆ ไม่มีการจดรายละเอียดเลย ดังนั้นข้อมูลอาจจะผิดพลาดไปบ้าง ก็ต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วย
การเล่าเรื่อง ผมขอเล่าสรุปตามลำดับความสำคัญ (ที่ผมคิดนะครับ) ไม่ได้ลำดับตามเวลา
- สถานการณ์บริษัทตอนนี้อยู่ในช่วงที่ลำบากมาก Demand หายหมด Capacity Utilization ลดลงเหลือแค่ระดับ 35%
- Demand หายหมด จาก Sub-prime Crisis เพราะ เวลาคนลดค่าใช้จ่ายจะลดค่าใช้จ่่ายกับพวกกลุ่ม Textile ก่อน เพราะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เสื้อที่มีอยู่ก็ใส่ไปได้อีก 2 ปี อยู่แล้่ว ดังนั้นธุรกิจสิ่งทอเลยกระทบหนักเป็นพิเศษ
- ผลกระทบจาก Sub-prime Crisis ทำให้เกิดกระแส Protectionism ขึ้นมาอีกรอบ เพื่อปกป้องประเทศตัวเองจากวิกฤต โดยล่าสุด Brazil (ไม่แน่ใจว่าผมฟังถูกรึเปล่านะครับ) ได้มีการนำมาตรการ Anti-Dumping มาใช้กับ จีน ออสเตรีย และ อินโด (รึเปล่านะ?) และในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ได้ส่งทางการมานั่งเกาะติดกับบริษัทฯ เพื่อตรวจสอบว่าบริษัทฯ มีการไปทุ่มตลาดประเทศเค้ารึเปล่า
- เรื่อง Protectionism เป็นเรื่องที่บริษัทกลัวมาก ซึ่งตอนนี้ยอดส่งออกของบริษัทลดฮวบเหลือเพียงสามสิบกว่าเปอร์เซนต์จากยอดขาย
- บริษัทฯ จำเป็นต้องรัดเข็มขัดทุกอย่าง ต้องลดการทำงานลงจาก 6 วัน เหลือ 5 วัน และลดเงินเดือนพนักงานลง แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจำเป็นต้องจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นจากการขยายสายการผลิต และการสร้างโรงงาน CS2
- สินค้าคงคลังตอนปิดงบ ช่วงเดือนกันยายนมีมากจนเกินไป และมีการ Write Off ผลขาดทุนจากราคาในตลาดโลกที่ลดลงแล้ว ซึ่งในช่วงเดือน ก.ย. - ธ.ค. บริษัทฯ พยายาม Liquidate Inventory ที่มีมากจนเกินไปเหล่านี้ (ซึ่งผมมเชื่อว่าน่าจะมีการ write off ผลขาดทุนจากราคาตลาดโลกที่ลดลงอีกระลอก)
- มีคนถามถึงว่านี่เป็นการบริหาร Inventory ที่ผิดพลาดหรือเปล่า ที่ปล่อยให้ Inventory บวมขึ้นเกือบเท่าตัว แถมเกิดผลขาดทุนจาก stock ตั้ง 2-3 ร้อยล้าน
MD ตอบว่า เค้าก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว ที่เจ็งก็เพราะเจ็งซัลเฟอร์ คือ ตอนที่ซื้อนั้นมันไม่มีซัลเฟอร์ในตลาดเลย ซัลเฟอร์มันไปอยู่ที่จีนหมด แล้วโรงงาน CS2 ก็ต้องใช้ ซัลเฟอร์ ต้องหาแทบตายกว่าจะได้ซัลเฟอร์มาจากอียิปต์
ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ราคาแต่อยู่ที่จำนวน สุดท้ายเลยซื้อไปที่ 750 ซึ่งถ้ามองในมุมขนาดนั้นก็ถือว่าตัดสินใจถูก เพราะราคาวิ่งต่อไปถึง 8 ร้อยกว่าๆ แต่ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าหลังจากนั้นราคามันจะตกฮวบได้ขนาดนี้ ซึ่งไอ้ราคาที่มันตกลงมาหนักขนาดนี้มันไม่เคยเกิดมาก่อนในรอบ 80 ปี (ถ้าฟังไม่ผิดนะ)
MD เพิ่มเติมว่า นี่ยังโชคดีนะบริษัทบริหารโซดาไฟได้ดี ไม่อย่างงั้นจะมีขาดทุนให้ดูิถึง 1.5 พันล้านบาท
- ถึงแม้ว่าจะพยายามลด Inventory ลด แต่ผู้ถือหุ้นก็ต้องทำใจนิดนึงนะว่า AV Nakawic พึ่งเริ่ม Operate ดังนั้นยังไงบริษัทก็ต้องรับกระดาษจาก AV มา Stock เอาไว้ก่อน ไม่อย่างงั้น ขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการปิดโรงงาน AV Nakawic จะยิ่งไม่คุ้ม
- MD บอกว่าในอีกไม่กี่วันที่จะประกาศงบออกมา ถ้านักลงทุนได้เห็นงบ คงจะได้ตกใจไปตามๆ กัน (ฟังตรงนี้ผมก็ได้แต่ :shock: และเสียวสันหลังวูบ)
- มีคนถามเรื่องซื้อหุ้นคืน MD ตอบว่า ไม่ไหวมั้ง Liquidity ในตลาดมันน้อยเหลือเกิน ถึงแม้ราคาจะถูกแต่ Liquidity มันน้อยเกินไป
- มีคนถามว่าแล้วบริษัทมีแผนจะลงทุนอะไรเพิ่มไหม? MD บอกว่าแม้ว่าตอนนี้จะมีของถูกเต็มตลาดไปหมด แต่บริษัทฯ ก็ไม่ได้มีตังค์อะไรมากมาย อยากเก็บตังค์เอาไว้เป็น Cushion ในช่วงวิกฤตมากกว่า คงต้องรอดูไปสัก 6 เดือนก่อน
- มีคนถามว่าอยากจะไป visit โรงงานผลิต CS2 แต่เท่าที่เข้าใจเจ้าหน้าที่บอกว่ามันยังไม่พร้อมให้ไป visit ไปอ่างทองเหมือนเดิมแหละดีแล้ว
รอเพื่อนๆ คนอื่นๆ มาเสริมครับ...
เครดิต คุณpicatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
PostPosted: Sat Jan 31, 2009 9:37 am
