Liver function tests (LFTs หรือ LFs) การตรวจการทำงานของตับ คือ กลุ่มของการตรวจทางเคมีคลินิกในเลือดภายในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานะของตับของผู้ป่วย
Total proteinตรวจหาโปรตีนที่สร้างจากตับได้แก่ Total protein
โปรตีนนี้สร้างในตับ มีหลายโรคที่ทำให้ค่าโปรตีนนี้สูงหรือว่าต่ำได้แก่ โรคตับ โรคไต มะเร็ง ขาดอาหารโปรตีนที่ตรวจได้แก่
Globulin เป็นโปรตีนที่สร้างจากตับและเม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ต่อสู่กับเชื้อโรค ค่านี้ต่ำอาจจะพบได้ในหลายๆโรค นอกเหนือจากโรคตับ
Albumin เป็นโปรตีนที่สร้างจากตับ หากตับเกิดเสียหายก็ไม่สามารถที่จะสร้างโปรตีนชนิดนี้ทำให้โปรตีนนี้ต่ำเป็นผลให้เกิดอาการบวมที่เท้า และทั่วร่างกายค่าปกติ 3.4 - 5.4 g/dL. เราอาจจะพบว่าค่านี้ต่ำกว่าปกติในภาวะ
- ท้องมานหรือมีน้ำในท้อง ascites
- ถูกไฟไหม้ burns (extensive)
- โรคไตอักเสบ glomerulonephritis
- โรคตับ เช่นตับอักเสบ ตับแข็ง liver disease ( hepatitis, cirrhosis, or hepatocellular necrosis "tissue death")
- ลำไส้ไม่ดูดซึมอาหาร malabsorption syndromes (for example,Crohn's disease,sprue, or Whipple's disease)
- ขาดอาหาร malnutrition
- ไตรั่ว nephrotic syndrome
อัลบูมิน (Albumin) ช่วงค่าอ้างอิง 3.5 to 5.3 g/dL
เป็นโปรตีนที่ผลิตขึ้นอย่างจำเพาะโดยตับและสามารถวัดได้อย่างง่ายดาย มันเป็นส่วนประกอบหลักของโปรตีนรวม ส่วนที่เหลือ เรียกว่า โกลบูลิ (รวมถึง immunoglobulins)
ระดับอัลบูมินจะลดลงในโรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็ง นอกจากนี้ มันอาจจะลดลงในกลุ่มอาการเนโฟตริก (nephrotic syndrome) ซึ่งจะมีการสูญเสียอัลบูมินทางปัสสาวะ โภชนาการที่ไม่ดีหรือภาวะกระบวนการสลายโปรตีนบกพร่อง เช่น ใน Ménétrier's disease อาจนำไปสู่ภาวะระดับอัลบูบินในกระแสเลือดต่ำ (hypoalbuminaemia)
ครึ่งชีวิตของอัลบูมิอยู่ที่ประมาณ 20 วัน การตรวจวัดอัลบูมินไม่ถือว่าเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญสำหรับ liver synthetic function เนื่องจากการตรวจดู coagulation factors (ดูด้านล่าง) จะมีความไวมากกว่า
Total bilirubin (TBIL)บิลิรูบิน (Bilirubin) เป็นผลิตผลที่เกิดจากการสลายของ heme (ส่วนหนึ่งของ เฮโมโกลบิน ในเซลล์เม็ดเลือดแดง) ตับจะทำหน้าที่ในการกำจัดบิลิรูบิน โดยกลไกต่อไปนี้ : บิลิรูบินจะถูกนำเข้าสู่ เซลล์ตับ (Hapatocytes), แล้วเปลี่ยนเป็นรูปแบบ (form) ที่สามารถละลายในน้ำได้ หลังจากนั้น จึงหลั่งไปในน้ำดีและถูกขับออกมาในลำไส้ในที่สุด
การเพิ่มขึ้นของบิลิรูบินอาจนำไปสู้ภาวะดีซ่านและสามารถเป็นสัญญาณของปัญหามากมาย ได้แก่
1. Prehepatic : การสร้างบิลิรูบินที่เพิ่มมากขึ้นสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น hemolytic anemias และอาการตกเลือดภายใน
2. Hepatic : มีปัญหาเกี่ยวกับตับซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงการเกิดข้อบกพร่องของกระบวนการสลายบิริรูบิน (bilirubin metabolism) เช่น ลดการดูดซึมจากเซลล์ตับ, การบกพร่องของการเปลี่ยนรูปแบบของบิลิรูบิน และเซลล์ตับหลั่งบิริรูบินได้น้อยลง ตัวอย่างที่เกิดจากปัญหานี้ เช่น ตับแข็ง ไวรัสตับอักเสบ
3. Posthepatic : การอุดตันของท่อน้ำดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นข้อบกพร่องในการขับถ่ายบิลิรูบิน (การอุดตันนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในตับหรือในท่อน้ำดี)
Direct bilirubin (Conjugated Bilirubin)การตรวจระดับบิลิรูบินในรูปแบบ conjugated form หรือที่เรียกว่า Direct bilirubin เป็นการวินิจฉัยที่ละเอียดขึ้นไปอีก
ถ้า Direct bilirubin มีค่าปกติ แต่มีระดับ unconjugated bilirubin เพิ่มมากขึ้น แสดงว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้นในขั้นตอนก่อนการขับถ่ายบิลิรูบิน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการเกิด hemolysis, ไวรัสตับอักเสบ หรือ ตับแข็ง เป็นต้น
ถ้า Direct bilirubin มีค่าสูง แสดงว่า ความผิดปกติอาจจะเกิดขึ้นจากการไม่สามารถขับถ่ายของบิริรูบินออกไปได้ อาจจะเกิดจากท่อน้ำดีอุดตันโดยก้อนนิ่วหรือมะเร็ง
Aspartate transaminase (AST)
ช่วงค่าอ้างอิง
10 to 35 IU/L
SGOTAspartate transaminase (AST) หรือที่เรียกว่า Serum Glutamic Oxaloacetic Transaminase (SGOT) หรือ aspartate aminotransferase (ASAT)
คล้ายกับ ALT เนื่องจากเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับตับ parenchymal cells มันจะเพิ่มขึ้นเมื่อตับได้รับความเสียหายอย่างเฉียบพลัน แต่ก็สามารถพบได้ในเซลล์เม็ดเลือดแดง กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อโครงร่าง
ดังนั้น มันจึงไม่มีความจำเพาะต่อตับเท่านั้น บางครั้งอัตราส่วนของ AST ต่อ ALT ก็เป็นประโยชน์ในการบอกความแตกต่างระหว่างสาเหตุของความเสียหายที่ตับ[2][3] อย่างไรก็ตาม ระดับ AST ที่สูงไม่ได้มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับความเสียหายที่ตับเท่านั้น และ AST ยังใช้เป็น cardiac marker อีกด้วย
SGPTAlanine transaminase (ALT) หรือที่เรียกว่า Serum Glutamic Pyruvate Transaminase (SGPT) หรือ Alanine aminotransferase (ALAT)
เป็นเอนไซม์ที่สามารถพบได้ในเซลล์ตับ เอนไซม์ตัวนี้จะถูกปล่อยออกมาสู่กระแสเลือดเมื่อเซลล์ตับได้รับความเสียหายซึ่งเราสามารถวัดได้ เกิดการรั่วไหลของมันเอนไซม์นี้เข้าสู่กระแสเลือดซึ่งจะมีการวัด ALT จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อตับได้รับความเสียหายอย่างเฉียบพลัน
เช่น ไวรัสตับอักเสบ หรือ การได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด ซึ่งมักจะวัดค่า ALT ได้มากกว่าค่าปกติ
Alkaline phosphatase (ALP) เป็นเอนไซม์ในเซลล์เยื่อบุท่อน้ำดีของตับ ระดับ ALP ในพลาสมาจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการอุดตันของท่อน้ำดี, intrahepatic cholestasis, หรือ infiltrative diseases ของตับ นอกจากนี้ ALP ยังสามารถพบได้ในกระดูกและรก ดังนั้น ค่ามันจึงสูงในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต (เนื่องจากกระดูกกำลังสร้าง) และผู้ป่วยสูงอายุที่มีเป็น Paget's disease
เกลือแร่ในเลือด (Blood electrolyte)ในภาวะปกติเลือดจะประกอบด้วย น้ำ 93% และอีก 7% เป็นของแข็ง ที่ประกอบด้วย อิเล็คโตรลัยด์(electrolyte) โปรตีน และไขมัน
เกลือแร่ (Minerals) เป็นสาระสำคัญในเลือดและในส่วนที่เป็นของเหลวในร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานของเซลล์โดยเฉพาะเซลล์สมอง และเซลล์ กล้ามเนื้อ
เกลือแร่ สำคัญที่เรารู้จักกันดี คือ
- โซเดียม (Sodium ย่อว่า Na)
- โปแตสเซียม (Potassium ย่อว่า K)
- คลอไรด์ (Chloride ย่อว่า Cl)
- แคลเซียม (Calcium ย่อว่า Ca)
- ฟอสฟอรัส (Phosphorus ย่อว่า P)
ส่วนเกลือแร่ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด คือ โซเดียม มีหน้าที่ ช่วยคงสมดุลของน้ำในร่างกาย ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ ของเซลล์สมอง และช่วยคงความดันโลหิต
โปแตสเซี่ยม มีหน้าที่ ช่วยการเต้นและการทำงานของหัวใจ และช่วยการหดและยืดตัวของกล้ามเนื้อ
คลอไรด์ มีหน้าที่ช่วย รักษาสมดุลความเป็นกรดด่างของเลือด
การเจาะเลือดหาเกลือแร่ของเลือดhttp://www.siamhealth.net/public_html/Health/Lab_interprete/electrolyte.html#.VIAgx2eeq00บทที่ 10.1: ความผิดปกติของ Electrolyte ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตhttp://www.thaicpr.com/?q=node/26