ไลฟ์สไตล์ > สุขภาพและความงาม

คนดังพิสูจน์ชัด "กินฉี่" พิชิตสารพัดโรค

(1/3) > >>

Adminis:
คนดังพิสูจน์ชัด "กินฉี่" พิชิตสารพัดโรค

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์
ลิ้งค์ : http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9550000039765

 :wanwan017:

คนดังพิสูจน์ชัด "กินฉี่" พิชิตสารพัดโรค

๐ เผยคนดังกินฉี่รักษาโรคได้ผลชงัด
๐ กระทรวงสาธารณสุขการันตี ใส่ข้อมูลเผยแพร่บนเว็บไซต์
๐ “หมอเขียว” ยืนยันด้วยสถิติ และผลวิจัยผู้ป่วยสารพัดโรคทั้งใกล้ตายและเรื้อรัง
๐ 3 กูรูแนะเทคนิคดื่มฉี่ให้ได้ผล
       
       เมื่อดูตัวเลขการบริโภคยาในประเทศไทยแล้วพบว่ามีการเพิ่มขึ้นเป็น134,482 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 35% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปี 2553 โดยเป็นยาที่ผลิตในประเทศมูลค่า 46,895.7 ล้านบาท นำเข้า 99,663.8 ล้านบาท และส่งออก 12,077.5 ล้านบาท มีสาเหตุมาจาก 1.การผูกขาดยาเนื่องจากการมีสิทธิบัตร 2.การป่วยเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น เช่น เบาหวาน หัวใจขาดเลือด มะเร็ง 3.การที่คนไทยเข้าถึงยามากขึ้นจากระบบหลักประกันสุขภาพ และ 4.การใช้ยาไม่เหมาะสมหรือเกินความจำเป็น
       
       โดยกลุ่มยาที่มีการใช้มากที่สุดคือ กลุ่มยาต้านการติดเชื้อหรือยาปฏิชีวนะมูลค่ากว่า 26,000 ล้านบาท กลุ่มยารักษาโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงกว่า 21,000 ล้านบาท กลุ่มยารักษาโรคระบบทางเดินอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้กว่า 17,000 ล้านบาท กลุ่มยารักษาโรคมะเร็งกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งยารักษาโรคมะเร็งทั้งหมดนำเข้าจากต่างประเทศ และกลุ่มยาที่ใช้กับกล้ามเนื้อและกระดูกกว่า 12,000 ล้านบาท
       
       นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังเปิดเผยสถิติการผลิตและนำเข้ากลุ่มยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อแบคทีเรีย ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา และยาฆ่าเชื้ออื่นๆ ระบุว่าตั้งแต่ปี 2543 ประเทศไทยผลิตและนำเข้ายากลุ่มนี้มากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ขณะที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่เฝ้าระวังสถานการณ์การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียมานานกว่า 10 ปีพบว่า เชื้อแบคทีเรียที่มีการดื้อยาสูงขึ้น ได้แก่ เชื้อสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae) ที่ทำให้เกิดโรคปวดบวมและเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะมีการดื้อยาเพนนิซิลินเพิ่มขึ้นจาก 47% เป็น 64%
       
       ขณะที่ เชื้ออีโคไลที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อในช่องท้อง ยังดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มที่ออกฤทธิ์กว้าง คือสามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิด เพิ่มจาก 19% ในปี 2542 เป็น52% ในปี 2548 และดื้อต่อยาในกลุ่มฟลูโอโรควิโนโลน (fluoroquinolone) ถึง60% ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่หาซื้อได้ง่าย จึงมีการใช้เกินความจำเป็นทั้งในคนและในสัตว์เลี้ยง ซึ่งปัญหาเชื้อโรคดื้อยา เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น การเลือกใช้ยาที่ไม่เหมาะสมกับเชื้อแบคทีเรีย การควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลไม่ดีพอ และการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง สถิติดังกล่าวบ่งบอกถึงแนวโน้มการสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาหาศาล
       
       อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการต่อต้านการใช้ยาและแนวทางการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งมีส่วนทำให้มีการบริโภคยามากขึ้น รวมทั้ง การแพทย์ทางเลือกโดยเฉพาะแนวทางการใช้ธรรมชาติบำบัดเพื่อรักษาและป้องกันอาการป่วยและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ กำลังเติบโตและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผลการพิสูจน์ชัดเจนจากทั้งผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยและต่างประเทศยืนยันและสร้างความเชื่อมั่น ล่าสุด “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” รวบรวมข้อมูลและเรื่องราวของผู้มีชื่อเสียงที่ศึกษาและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการนำปัสสาวะบำบัดมาใช้ ซึ่งที่ผ่านมามีข้อสงสัยอย่างมากในหมู่คนทั่วไปถึงประสิทธิผลที่ได้รับ

Adminis:
คำยืนยัน - ประสบการณ์น่ารู้
       
       ไม่เพียงคนดังในเมืองไทย แต่ในต่างประเทศอดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย โมราจิ ดาซาย กับนาราช นเรนทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดื่มน้ำปัสสาวะเป็นประจำ เพื่อบำรุงสุขภาพมานาน ส่งผลให้สุขภาพดีมาจนตลอดอายุขัย เมื่ออายุ 90ปีไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคภัยใดๆ แม่แต่โรคหวัด กำลังกายดี สมองปกติ ไม่หลงลืม กระทั่งจนถึงอนิจกรรมเมื่ออายุ 99ปี
       
       อีกทั้ง ยังได้แนะนำให้ประชาชนดื่มตาม ในปีพ.ศ.2520 ขณะอายุได้ 81 ปี ได้ประกาศตนในที่สาธารณะว่า ท่านดื่มน้ำปัสสาวะทุกวัน แทบทุกเวลา รวมทั้งบรรดาญาติพี่น้องของท่านปฎิบัติตัวตามอีกทั้งยังได้สนับสนุนขบวนการรณรงค์ดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย
       
       ในการใช้ปัสสาวะบำบัดของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ เริ่มทดลองดื่มน้ำปัสสาวะมาพักใหญ่แล้ว แต่หลังจากนั้นหยุดไปช่วงหนึ่ง แล้วจึงกลับมาดื่มใหม่เมื่อได้รับข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์และมีตัวอย่างของคนจำนวนไม่น้อยที่หายป่วยจากโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง ขณะเดียวกัน การได้อ่านหนังสือเรื่อง “ยาพระพุทธเจ้า น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค” ที่เขียนโดย “นิดดา หงษ์วิวัฒน์” ทำให้ตัดสินใจทำอย่างอื่นเพิ่มเติม คือการปฎิบัติตัวด้วยการรับประทานอาหาร ซึ่งมีผลต่อรสชาติของปัสสาวะว่าร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลหรือไม่ เช่น ถ้าเค็มมากแสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับไต ถ้าหวานแปลว่ามีโอกาสเป็นเบาหวาน ถ้าจืดแปลว่าสุขภาพดี
       
       จากนั้นจึงใช้กลั้วคอ ก็รู้สึกว่าดี เพราะจากการสูบบุหรี่ทำให้มีอาการไอมาก แต่ในตอนนี้อาการอหายไป ต่อไปจึงนำมาล้างหน้า แล้วผิวนุ่มนวลขึ้นมาและกำลังใช้หมักผมอยู่ในปัจจุบัน ปรากฏว่าผมแน่นขึ้นดำขึ้น พร้อมทั้งเม็ดผดที่ศีรษะหายไปหมด ล่าสุด เมื่อรู้ว่าล้างตาได้ ก็เริ่มเอามาใช้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จากอาการน้ำตาไหลทุกวันไม่ทราบสาเหตุและตาพร่ามัวเมื่ออ่านหนังสือ แต่หลังจากล้างตาอาการน้ำตาไหลหายขาดและไม่มีอาการโฟกัสพร่ามัวอีกเลย ปัจจุบันจึงดื่มเช้า-เย็นเป็นอย่างน้อย ถ้าระหว่างวันสามารถดื่มได้จะดื่มด้วย
       
       นอกจากนี้ การใช้ธรรมชาติบำบัดโดยการล้างพิษด้วยตนเองที่ทำมาถึง 20 ปีแล้วคือ การทำซาวน่าแบบร้อนจัดและแช่ตัวด้วยน้ำเย็นจัดทุกวัน เพราะเป็นการขับสารพิษออกทางผิวหนัง ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดื่มน้ำปัสสาวะได้ผลดี และด้วยความเชื่อในหลักการว่า เชื้อโรคปริมาณน้อยที่ออกจากร่างกายเมื่อเทียบกับเลือด เมื่อดื่มเข้าไปจะกระตุ้นให้เม็ดเลือดจาวทำงาน เพราะเป็นการกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงาน จากเดิมที่ไม่รู้จัก ซึ่งเมื่อเม็ดเลือดขาวทำงานและจัดการกับโรค จะทำให้รู้ตัวก่อนว่าเป็นโรคอะไร แทนที่จะปล่อยให้โรคลุกลาม จึงตัดสินใจดื่มปัสสาวะในตอนเช้าและกลางคืน แต่ดื่มตอนเช้ามากกว่าเพราะรู้สึกว่ารสชาติดี เนื่องจากดื่มน้ำมากก่อนนอน
       
       อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้กระตือรือร้นมากขึ้นกับการใช้ปัสสาวะในช่วงหลังนี้ เป็นเพราะได้เห็นตัวอย่างจากคนใกล้ตัว คือคุณพ่อของคนขับรถซึ่งป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ซึ่งเมื่อพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลบอกว่าต้องผ่าเปิดหน้าท้องเพื่อให้สามารถขับถ่ายได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางรักษาได้ถ้าฉีดยาฆ่าเชื้ออย่างเดียว และถ้าลังเลเพราะคิดจะใช้วิธีรักษากับแพทย์ทางเลือก จะไม่รักษาให้ และดูแคลนด้วยว่าถ้านำตัวกลับไปบ้านนอกจะขับถ่ายเองไม่ได้ แต่ปรากฏว่าในเวลาเพียงหนึ่งวันครึ่งเท่านั้นก็สามารถขับถ่ายได้เองซึ่งถือเป็นการเริ่มรักษาได้ ด้วยการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ทั้งหมด แล้วดื่มน้ำคลอโรฟิลด์ และวันนี้กลับมากรุงเทพฯ แล้ว แม้ว่าจะยังไม่หายจากการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ก็ตาม ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือการดื่มปัสสาวะ และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ มีพันธมิตรคนหนึ่งป่วยเป็นโรคเก๊าต์ ทานยาแผนปัจจุบันแล้วแต่ไม่หาย เมื่อหันมาดื่มปัสสาวะตามสูตรหมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) และปรับวิถีชีวิตด้วยทำให้หายได้
       
       “นิดดา หงษ์วิวัฒน์” อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และผู้แต่งหนังสือเรื่อง “ยาพระพุทธเจ้า น้ำปัสสาวะ เป็นยารักษาโรค” เล่าว่า ศึกษาเรื่องปัสสาวะมานานแล้ว จนกระทั่งได้ฟังการบรรยายโดยหมอเขียว “ใจเพชร กล้าจน” จึงเกิดความมั่นใจ และมีโอกาสเริ่มต้นด้วยการใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบด้วยการอมปัสสาวะของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และทาบริเวณที่บวม จากนั้น จึงดื่มด้วยวิธีที่ศึกษามาแล้วพบว่าได้ผลดีมาก
       
       หลังจากนั้น จึงใช้เหมือนกับเป็นตู้ยาสามัญประจำบ้านประจำตัว และยังเผยแพร่ให้คนข้างตัวนำไปใช้ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสามีคือ ดร.ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์ อดีตนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข เช่น เป็นยาปฏิชีวนะ ใช้ราดแผนห้ามเลือดและป้องกันเชื้อโรคแพร่เชื้อ หรือรักษากลากเกลื้อนให้น้องชาย แม้กระทั่งสุนัขที่บ้านซึ่งเป็นแผลถูกสุนัขอื่นกัด และถูกตีหัวแตก จนถึงการใช้เป็นเครื่องสำอางบำรุงผิว บำรุงผม และเล็บอีกด้วย ทุกวันนี้จึงเป็นผู้หนึ่งที่เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย
       
       “สมณะโพธิรักษ์” ผู้ก่อตั้งอาศรมสันติอโศก ซึ่งเคร่งครัดในการปฎิบัติธรรมตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า กล่าวสั้นๆ เกี่ยวกับการใช้ปัสสาวะบำบัดหรือน้ำมูตรว่า ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร จึงไม่ได้ใช้รักษาอะไร แต่ดื่มประจำ หรือเวลาคันตาใช้หยอดตาบ้างเท่านั้น
       
       อย่างไรก็ตาม “ใจเพชร กล้าจน” หรือหมอเขียว นักวิชาการสาธารณสุข กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลอำนาจเจริญ นักบำบัดสุขภาพทางเลือก และครูฝึกแพทย์แผนไทย สถาบันบุญนิยม และหัวหน้าฐานงานสุขภาพบุญนิยม สวนป่านาบุญดอนตาล(ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง) จังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่าสมณะโพธิรักษ์สอนเขาว่า น้ำปัสสาวะเป็นน้ำที่สะอาดมากเพราะกรองจากไต ซึ่งไตเป็นเครื่องกรองชั้นดี ไม่มีเครื่องกรองชนิดใดที่สามารถกรองได้อย่างละเอียดยิ่งไปกว่าไต และการฝึกดื่ม/ฝึกใช้น้ำปัสสาวะให้เป็นประโยชน์ จนเป็นปกติสบาย เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพื่อละล้างจิตที่ทุกข์จากความชิงชัง รังเกียจ ขยะแขยง ไม่ชอบ ผลัก ในน้ำปัสสาวะ เพราะถ้าเราชิงชังรังเกียจไม่ชอบ เมื่อน้ำปัสสาวะสัมผัสเราเราก็ทุกข์ใจ แต่ถ้าเราไม่ได้ชิงชังรังเกียจ เมื่อน้ำปัสสาวะสัมผัสเราเราก็ไม่ทุกข์ใจ แถมได้ยาสร้างภูมิต้านทาน สร้างพลังชีวิตด้วย
       
       สมณะโพธิรักษ์แข็งแรงมาก ปัจจุบัน(พ.ศ.๒๕๕๔)ท่านอายุย่างเข้า ๗๘ ปีแล้ว แต่ยังสามารถทำงานและมีอิริยบถคล่องแคล่ว เหมือนคนอายุ ๕๐ ปี ผลการตรวจสภาพร่างกายล่าสุดด้วยเครื่องมือทันสมัยที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สภาพหัวใจแข็งแรงเท่ากันกับคนอายุ ๓๐ ปี สมองมีสภาพเท่ากันกับคนอายุ ๔๐ ปี ท่านเล่าเคล็ดของการปฏิบัติที่ทำให้แข็งแรงดังกล่าว ให้ฟังว่า ท่านฉันอาหารไม่มีเนื้อสัตว์ ฉันอาหารรสจืด ฉันอาหารวันละ ๑ มื้อ เคี้ยวอาหารละเอียด ฉันแค่พอดีอิ่มสบาย ปฏิบัติใจไม่ให้มีไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะเผา บริหารกายด้วยการเดินเร็วสลับกับโยคะ (วันหนึ่งเดินเร็ว อีกวันหนึ่งก็โยคะสลับกัน) ปรับสมดุลด้วยหลัก ๘ อ.เพื่อสุขภาพที่ดีของสถาบันบุญนิยม ได้แก่ อิทธบาท ๔ อาหารดี อารมณ์ดี อากาศดี ออกกำลังกายและอิริยบถ เอนกาย เอาพิษภัยออก อาชีพที่สัมมาและเหมาะสม และฉันน้ำปัสสาวะในตอนเช้าและเย็นเป็นปกติทุกวัน

Adminis:
หมอแผนใหม่ - แพทย์ทางเลือกยอมรับ
       
       “นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล” แพทย์ที่มีความรู้การแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ผู้ก่อตั้งศูนย์สุขภาพธรรมชาติบำบัด “บัลวี” กล่าวถึงเรื่องปัสสาวะบำบัดซึ่งมีการโต้เถียงกันอย่างหนักในประเทศไทยเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เนื่องจากมีแพทย์แผนไทยคนหนึ่งสอนให้ชาวบ้านใช้สมุนไพรดองปัสสาวะดื่ม ซึ่งโฆษกกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้นออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่าการทำเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องไม่สมควรทำ ให้เลิกทำ เพื่อเป็นการแสดงความเห็นคัดค้าน แต่ในขณะนั้น มีการประกาศพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติรับรองภูมิปัญญาพื้นบ้าน
       
       โดยส่วนตัวพิจารณาเห็นว่าการที่โฆษกกระทรวงฯ ทำเช่นนี้ซึ่งเป็นการต่อต้านภูมิปัญญาพื้นบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องมากกว่า จึงเป็นแรงบันดาลใจในการริเริ่มศึกษาเรื่องปัสสาวะบำบัด ในตอนนั้นเริ่มต้นศึกษาด้วยการเข้าไปในอินเทอร์เน็ตหาข้อมูล พบว่ามีมากมายที่พูดว่าปัสสาสะบำบัด (Urine Therapy) มีอยู่ในศาสตร์การแพทย์พื้นบ้าน รวมทั้ง ทุกศาสนาระบุถึงการดื่มปัสสาวะเช่นกัน รวมทั้ง การประชุมนานาชาติที่ว่าด้วยเรื่องนี้ที่ผ่านมา 4 ครั้งแล้ว ครั้งที่ 1 อินเดียซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะมีโยคีทำในเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ครั้งที่ 2 เยอรมนีซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 3 บราซิล ครั้งที่ส 4 ญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ซึ่งเนื้อหาหลักการประชุมพบว่า การที่บอกว่าปัสสาวะเป็นของสกปรกควรจะเข้าใจใหม่เพราะไตมีหน้าที่ปรับสมดุลร่างกายเท่านั้น เช่น ถ้าดื่มน้ำมากจะมีการขับออกมาเพื่อทิ้งไป ถ้ากินโปรตีนมากร่างกายจะย่อยเนื้อสัตว์ออกมาเป็นยูเรีย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นของสกปรก แต่เป็นการปรับสมดุลของร่างกาย
       
       ในความเป็นจริงปัสสาวะนอกจากมีสารยูเรีย มีอินซูลินซึ่งช่วยรักษาเบาหวาน อินเตอร์เฟอรอนซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน รวมทั้ง ยูโรไคเนสที่ใช้ในการผ่าตัดสำหรับผู้ที่มีเส้นเลือดหัวใจหรือเส้นเลือดสมองตีบตัน เพราะช่วยละลายลิ่มเลือด ซึ่งมีบริษัทยารายใหญ่ของโลกทำเครื่องมือที่สามารถสกัดสารนี้จากปัสสาวะ แล้วนำเครื่องมือนี้ไปติดตั้งที่ส้วมสาธารณะในอเมริกาโดยคนอเมริกันไม่รู้ว่าตนเองกำลังเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อผลิตยา จนบริษัทนำไปผลิตเป็นยาวางขายทั่วโลก ดังนั้น ใครที่รอดจากการผ่าตัดดังกล่าวหลังปี ค.ศ. 1947 เท่ากับว่า ได้รับน้ำปัสสาวะของคนอเมริกันเข้าไปในร่างกายโดยไม่รู้ตัว
       
       นอกจากนี้ ยังมีฮอร์โมนต่างๆ ในปัสสาวะที่ถูกนำไปสกัดเป็นยา เช่น บริษัทของอิตาลีที่สกัดปัสสาวะของผู้หญิงโปรตุเกสและอาร์เจนติน่ามาผลิตเป็นฮอร์โมนเสริมที่ชื่อ Primarin สำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง การใช้ปัสสาวะมีอยู่แล้วแต่กลับมีการต่อต้านกันมากสำหรับคนที่ไม่รู้ ซึ่งนี่คือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังธุรกิจ
       
       หลังจากศึกษาเรื่องนี้มากขึ้นทำให้รู้สึกทึ่ง ในตอนนั้นจึงแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนเพื่อบอกกับสังคมให้รับรู้ แต่ก่อนที่จะบอกในวงกว้าง เพื่อให้มั่นใจมากขึ้นจึงทดลองดื่มด้วยตนเองตามหลักการที่มีการแนะนำกันมา แต่เนื่องจากไม่ได้เจ็บป่วย จึงน่าจะเป็นเหมือนการได้ส่งเสริมสุขภาพ แต่มีจุดที่น่าสนใจข้อหนึ่งคือตามปกติจะมีเชื้อราที่เท้า แต่เมื่อได้ดื่มปัสสาวะ เชื้อราดังกล่าวก็หายไป
       
       การดื่มตอนดึกก่อนนอนเพราะเป็นการส่งสัญญาณบอกทำให้เกิดการปรับตัว ตอนเช้าจึงมีสารที่เป็นประดยชน์ต่อการรักษา ถ้าเปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ตอนกลางคืนเท่ากับการดาวน์โหลด ขณะที่ ตอนเช้าเปรียบเหมือนการอัพโหลด โดยหลักการเหมือนกับการฉีดเซรุ่มซึ่งได้มาจากการนำพิษไปฉีดที่ม้าทีละน้อย ทำให้ม้าสร้างสารที่ใช้รักษาตัวเองขึ้นมา ดังนั้น จึงเหมือนกับ “น้อยรักษามาก” เหมือนการบอกเหตุกับร่างกายเพื่อทำให้ร่างกายสร้างสารขึ้นมารักษาตนเอง
       
       โดยส่วนตัวตามปกติจะดื่มวันละ 2 ครั้งคือตอนเช้าและตอนกลางคืน และมีอยู่ครั้งหนึ่งเคยใช้ทาผิว รู้สึกเหมือนเป็นโลชั่นบำรุงผิว วิธีใช้คือให้แห้งเองซึ่งเร็วมากและไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ไม่ได้ใช้เป็นประจำเพราะเห็นว่าผิวเป็นปกติดีอยู่แล้ว และในทัศนะส่วนตัวการดูแลรักษาสุขภาพที่ดีไม่ใช่การปฎิบัติเพียงเรื่องใดเรื่องเดียวโดยไม่สนใจเรื่องอื่น
       
       ดังนั้น ปัสสาวะบำบัดจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วเชื่อในหลัก 3 ประการคือ อาหาร การบริหารกาย และการบริหารจิต ในส่วนของอาหารกินอยู่อย่างไทย และไม่ได้กินมังสะวิรัติเพราะถือว่าการกินตามบรรพบุรุษไทยหรือตามพื้นถิ่นเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เช่น กินข้าวกล้อง หมู ไก่ ปลาน้ำพริก พืชผักต่างๆ เพราะมีการพิสูจน์มาเป็นพันเป็นหมื่นปีว่าการกินเช่นนี้ทำให้ดำรงชีวิตอยู่และมีลูกหลานอยู่ต่อมาได้ ซึ่งหากจะพิสูจน์ตามหลักการแพทย์แผนใหม่จะพบว่าอาหารเหล่านั้นมีสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้ง ไม่กินตามกรุ๊ปเลือดเพราะเป็นองค์ความรู้ที่สั้นมากเพิ่งเกิดมาไม่นาน อยู่ๆ มีการคิดขึ้นมา
       
       ส่วนการอดอาหารล้างพิษซึ่งเป็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ โดยส่วนตัวทำเป็นระยะๆ เช่น 15 วันทำหนึ่งครั้ง และมีการฝึกชี่กง ว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย ปัสสาวะบำบัดเท่าที่ติดตามดูเหมือนกันเป็นการกระตุ้นกลไกต่างๆ ในร่างกายให้ปรับสมดุลตนเอง
       
       ขณะที่ “นายแพทย์เฉก ธนะสิริ” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิการแพทย์ไทยเดิมและชมรมอยู่ 100 ปี ชีวีเป็นสุขกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าถ้าเชื่อก็ไม่เสียหายอะไร เพราะบางคนเชื่อว่าดื่มปัสสาวะแล้วดีก็ไม่เห็นเสียหายอะไร หรือถ้าทำให้อาการของโรคที่เป็นดีขึ้นก็ดื่มได้ไม่เสียหาย แต่บางคนบอกว่าไม่จำเป็นเพราะมีเหตุผลของตนเองว่าเป็นของเสียที่มาจากการรับประทานอาหารจึงไม่ใช้ เพราะเคยไปเป็นวิทยากรการประชุมเรื่องปัสสาวะบำบัดและให้ความเห็นแบบกลางๆ โดยส่วนตัวเคยชิมเท่านั้น แต่ไม่คิดจะทดลองใช้เพราะไม่มีเหตุผลจะไปใช้
       
       

Adminis:
เคล็ด (ไม่)ลับดื่มฉี่พิชิตโรค - “เบาหวาน”หายได้ภายในปีครึ่ง
       
       3 ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาและมีประสบการณ์ตรงจากการใช้ประโยชน์น้ำปัสสาวะ “หมอเขียว -นิดดา- ชญาบุญ”เผยเคล็ดลับการใช้ประโยชน์จากน้ำปัสสาวะเพื่อพิชิตสารพัดโรคตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า อีกทั้งยังสามารถใช้ทำดีท็อกซ์ล้างลำไส้ได้เป็นอย่างดี หากนำไปผสมกับ “ถ่านหุงต้ม”กลายเป็นยาขับพิษ และหากประยุกต์ร่วมกับธรรมชาติบำบัดสามารถรักษาโรคเบาหวานหายได้ภายใน1ปีครึ่ง
       
       ประเดิมคนแรก หมอเขียว -ใจเพชร กล้าจน ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ประโยชน์น้ำปัสสาวะมานานหลายปี เขาแนะนำถึงเทคนิคใช้น้ำปัสสาวะให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและบำบัด รักษาโรคว่า ปัสสาวะที่ดีที่สุด ที่แสดงว่าเราปฏิบัติตัวได้สมดุล คือ มีรสจืดเหมือนน้ำหรือหอมเหมือนชา ไม่มีกลิ่นฉุน ปัสสาวะที่แสดงว่าเราปฏิบัติตัวไม่สมดุล คือ มีรสจัดหรือมีกลิ่นฉุน
       
       กรณีน้ำปัสสาวะรสจัดหรือมีกลิ่นฉุน เวลาจะใช้ดื่ม หรือหยอดตาหยอดหู ควรเจือจางในน้ำสะอาดให้เหลือรสแค่ปะแล่มๆหรือกลิ่นน้อยลง ก่อนนำมาใช้ ปริมาณการดื่มที่พอดี คือ ดื่มในปริมาณที่ร่างกายรู้สึกสบาย อย่างไรก็ตาม หากใช้ดื่มตอนที่รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย หิว หรือตอนที่รู้สึกไม่สบายต่างๆ พบว่า ช่วยให้ร่างกายมีพลังชีวิต และช่วยทุเลาอาการไม่สบายต่างๆได้ดี โดยใช้ภาชนะที่สะอาดรองน้ำปัสสาวะในตอนเช้า เย็น
       
       กรณีมีแผลสด แผลเรื้อรัง แผลอักเสบ(ปวดบวมแดงร้อน) แผลน้ำกัดเท้า แผลหนามหรือเสี้ยนทิ่มตำ ฝี หนอง ผื่นคัน หากใช้น้ำปัสสาวะทาหรือล้าง พบว่าช่วยบรรเทาอาการปวด ลดอาการอักเสบ ลดผื่นคัน ช่วยสมานแผล และช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้ดีมาก
       
       นอกจากนี้ หากมีอาการไม่สบายตา ล้างมือให้สะอาด นั่งเงยหน้าหรือนอนหงาย ใช้มือจุ่มลงไปในน้ำปัสสาวะ แล้วมาแตะที่หัวตา จากนั้นลืมตา เอาน้ำปัสสาวะไปล้างตา แก้อาการไม่สบายนัยน์ตา ช่วยให้ตาสะอาด และช่วยถนอมลูกตา หรือ หากปวดฟัน เหงือกอักเสบ มีแผลในช่องปาก การอมน้ำปัสสาวะไว้นานๆ แล้วกลืนเข้าไปหรือบ้วนทิ้ง ช่วยทุเลาอาการดังกล่าวได้ดี
       
       ขณะเดียวกัน หากต้องการดีท็อกซ์ก็สามารถใช้ปัสสาวะสวนล้างลำไส้ใหญ่สามารถใช้ปัสสาวะลดอาการไม่สบาย โดยหมอเขียวและสมาชิกเครือข่ายบอกว่า ให้ใช้น้ำปัสสาวะ ๑ ส่วน ผสมน้ำเปล่า ๑ ส่วน ใส่ขวดดีท็อกซ์(แยกกันกับชุดสวนล้างลำไส้ใหญ่) แล้วสวนล้างช่องคลอด มีผลทำให้อาการไม่สบายส่วนใหญ่ลดลงภายใน ๑ วัน สามารถลดอาการไม่สบายหรือทำให้รู้สึกสบายตัวได้ดีมาก ผู้ป่วยหลายท่านที่มีปัญหาในช่องคลอด เช่น ตกขาว คัน ปวด แสบ ออกร้อน และอื่นๆได้
       
       ไม่เพียงเท่านี้ ยังสามารถใช้น้ำปัสสาวะแทนน้ำยาสระผม ขจัดรังแคแก้คันศีรษะได้ดี โดยขณะอาบน้ำชโลมน้ำปัสสาวะให้เปียกชุ่มทั่วศีรษะหมักผมเอาไว้ พออาบน้ำเสร็จก็สระล้างออกโดยไม่ต้องใช้น้ำยาสระผม หรือบางท่านอาจใช้คู่กับน้ำยาสระผมก็ได้ บางท่านใช้น้ำปัสสาวะแทนสบู่ พบว่าทำความสะอาดและเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายได้ดี
       
       

Adminis:
แนะเทคนิคฉี่ไม่มีกลิ่นฉุน
       
       นอกจากวิธีการดื่มน้ำปัสสาวะดังกล่าวแล้ว ยังสามารถนำไปผสมกับผงถ่าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาเฉพาะโรคได้อีกด้วย จากการถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ คนที่สอง-นิดดา หงษ์วิวัฒน์ ผู้ศึกษาและมีประสบการณ์โดยตรงในการดื่มน้ำปัสสาวะและธรรมชาติบำบัดแบบองค์รวม และเจ้าของผลงานเขียนหนังสือ “ยาพระพุทธเจ้า น้ำปัสสาวะ เป็นยารักษาโรค” บอกด้วยว่า ได้ดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อบำรุงร่างกายและรักษาอาการบกพร่องทางร่างกาย คือ นอนหลับยาก ไอเรื้อรัง โดยดื่มน้ำปัสสาวะตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้ว 1 แก้ว
       
       อย่างไรก็ตาม มีข้อแม้ว่า ถ้าเช้าวันนั้นน้ำปัสสาวะใส ไม่มีรสเค็มหรือรสอื่นๆก็จะดื่มทันทีเลย แต่ถ้ามีสีเข้ม มีรสเค็มก็จะผสมน้ำสะอาดให้เจือจางเสียก่อน จึงค่อยดื่ม เนื่องจากน้ำปัสสาวะหลังจากตื่นนอนมีฮอร์โมนเมลาโทนินเพิ่มเติมจากสารอื่นๆ
       
       สำหรับเทคนิค ทำให้น้ำปัสสาวะมีรสจืดสีจางไม่มีกลิ่นฉุน นิดดาแนะนำว่า เมื่อตื่นนอนตอนเช้าให้เข้าห้องน้ำปัสสาวะน้ำแรกทิ้งไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆดื่มน้ำแบบช้าๆอมอยู่ในปากสักระยะ เพื่อคลายความเย็น และให้มีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายแล้วค่อยๆกลืนน้ำจะไหลลื่นสบายคอ
       
       เนื่องจากเป็นน้ำที่ย่อยแล้วและมีการปรับโมเลกุลน้ำให้ละเอียดขึ้น โดยดื่มสัก 3-4 แก้ว ถึง 5 แก้ว แล้วแต่ความพร้อมแต่ละคนสักครู่ใหญ่ 10-20 นาที จะรู้สึกปวดปัสสาวะและอุจจาระไปพร้อมๆกัน โดยให้ขับปัสสาวะรองขึ้นมาก่อนแล้วจึงค่อยถ่ายอุจจาระ วิธีการดังกล่าวจะช่วยทำให้ได้น้ำปัสสาวะใสสะอาด รสชาติดี ไม่มีกลิ่นฉุน และยังช่วยรักษาอาการท้องผูกเป็นยารักษาระบายอีกด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะยังมีสรรพคุณขับพิษทั้งหลายที่ซ่อนอยู่ในอวัยวะต่างๆอย่างได้ผล เมื่อนำเอาไปผสมผงถ่านที่หุงต้มตามบ้านหรือบด ตำจนละเอียด ในอัตราส่วน 1ช้อนชากับน้ำปัสสาวะ 1แก้วพร้อมเขย่า 20-30 ครั้ง ทิ้งไว้ให้ผงถ่านตกตะกอนแล้วดื่มน้ำที่ได้จะช่วยขับพิษจาก ท้องร่วงรุนแรงเป็นบิด ไอเสมหะ เป็นไข้เรื้อรัง ปวดหัวเรื้อรัง จากประสบการณ์ได้นำสูตรนี้ไปให้ลูกชายดื่ม ผลลัพธ์คือ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนร่างกายขับพิษออกมาเป็นน้ำเหลืองไหลย้อยไปตามอวัยยวะทั้งพุง รักแร้ และหนังหัว หลังจากนั้นอาการดังกล่าวหายไป
       

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version