งานและอิสรภาพทางการเงิน > อิสรภาพทางการเงิน

หุ้น TR

<< < (2/14) > >>

หาเพื่อนคุย:
TR หุ้นสองบุคลิก

หุ้น TR หรือบริษัทไทยเรยอน เป็นหุ้นที่ผมชื่นชอบมากในแง่ของการ "หาเงิน" แต่ก็เป็นหุ้นที่ผมไม่ชอบมากอีกเหมือนกันในแง่ของการ "ใช้เงิน"

ในด้านการ "หาเงิน" model ของ TR จัดได้ว่าเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง เป็นเจ้าเดียวในประเทศที่ผลิตเส้นใยเรยอน เมื่อครั้งไปดูโรงงานก็พบว่ามีการบริหารจัดการที่ดี ผู้บริหารดูมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและพยายามลดต้นทุน

ในด้านการ "ใช้เงิน" สามารถแบ่งเป็นสองส่วนคือ
ส่วนการใช้เงินลงทุนเครื่องจักรเพื่อแทนเครื่องเก่าหรือสร้าง line การผลิตใหม่และ
ส่วนที่สองคือการลงทุนไปยังบริษัทในเครือ

ประเด็นแรกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและเป็นการทดแทนเครื่องจักรเก่า ซึ่งมีแต่จะทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากรายได้ของไลน์ใหม่และต้นทุนที่ประหยัดจากเครื่องจักรใหม่

แต่ประเด็นที่สองนับว่าเป็นจุดบอดที่ทำให้ผมคิดว่าการลงทุนใน TR อาจจะไม่คุ้มค่า (หรือต้องต่อราคามากหน่อย) ก็เพราะว่าการเอาเงินไปลงทุนในบริษัทในเครือที่สูญเปล่าโดยไม่มีอะไรตอบแทนกลับมาเป็นเงินสดนอกเสียจากสิ่งที่เรียกว่า "ส่วนแบ่งกำไร" ทางบัญชี

ยกเว้นการลงทุนใน TCB เพียงตัวเดียวที่ดูดีมี return on investment มากกว่า 10% จากเงินปันผล นอกนั้นการลงทุนในบริษัทอื่นๆดูเหมือนจะเป็น conflict of interest ระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่กับผู้ถือหุ้นรายย่อย

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สามารถขยายกิจการในต่างประเทศอย่างง่ายดาย โดยการใช้กระแสเงินสดที่ TR สร้างขึ้นมาไปซื้อหุ้น ในขณะที่หนทางในการนำเงินจากธุรกิจใหม่ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยตรงจากตลาดหลักทรัพย์ สามารถจ่ายผ่านช่องทางอื่นๆได้ง่ายๆ เช่น ค่า Management fee หรือ Royalty fee
ตรงนี้เป็นสิ่งที่รายย่อยไม่สามารถเข้าถึงและเผลอๆ ชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่ได้เห็นอะไรกลับมาจากการลงทุนในบริษัทย่อย นอกเสียจาก "ส่วนแบ่งกำไร" ทางบัญชี

ปล. สัดส่วนเงินลงทุนในบริษัทย่อยของ TR ในงบดุลแทบจะมีสัดส่วนเกือบ 50% ของสินทรัพย์รวมเข้าไปแล้ว

ต่อไปนี้เป็น comment ที่ผมเคย post ในกระทู้ร้อยคนร้อยหุ้นของหุ้น TR เมื่อวันที่ 28 Nov 2009 ระหว่างรองบปีออกครับ

EPS คงจะผันผวนน้อยลงนะครับ มีสาเหตุหลักคือ

1) เดือนตุลาคม 2552 มีการเปลี่ยนนโยบายการคิดต้นทุนวัตถุดิบจาก FIFO เป็น Moving avg.

2) นโยบายการขายของและการสั่งวัตถุดิบที่ match กันจาก Annual report (แต่ข้อนี้มีอยู่ก่อนแล้ว)

3) Trend ในอดีตที่ราคาขายกับราคาวัตถุดิบหลักมักไปด้วยกัน (แต่ให้ผลที่ดีมากกว่าถ้าราคาขายขึ้น ถึงแม้ต้นทุนจะขึ้นด้วยก็ตาม)

4) ถ้าในอนาคต Modal ที่มีส่วนต่างกำไรสูงกว่า สามารถเพิ่มสัดส่วนได้อย่างต่อเนื่อง (จะช่วยไป offset ในกรณีที่เป็น trend ราคา rayon --> Price variance ไม่ดีแต่ Mixed variance ดี)

แต่แปลกดีจังครับ TR นี่

กำไรต่ำกว่าปีที่แล้วตั้งเยอะ

แต่ Free cash flow กลับสูงสุดในรอบ 4 ปี

และคิดว่าจะทำ New high ในปีหน้าและปีหน้าๆจากการที่ราคาขายสูงขึ้นหนึ่งเด้งและการลงทุนที่ลดลง 1 เด้ง (ปีนี้ลงทุนแค่ 60% ของค่าเสื่อมเอง)

Operating cash flow ก็ไม่สะทกสะท้าน

เห็นทีใครว่า TR เป็น cyclical stock นี่ คงใช้ไม่ได้ถ้ามองในมุมของกระแสเงินสด
(รึเปล่า)

แต่ก็มีข้อเสียหลายข้อนะครับเจ้า TR นี่

1) Working capital สูงประมาณ 20% ของยอดขายทำให้กระแสเงินสดที่ได้จากการเติบโตถูกสะกัดดาวรุ่งด้วยการเพิ่มขึ้นของ Working capital ซึ่งท้ายสุดก็เป็นสาเหตุ classic ที่จะตอบผู้ถือหุ้นว่าต้องสำรองเงินไว้ใช้ จึงไม่สามารถจ่ายเงินปันผลสูงๆได้ ซึงสาเหตุมาจากการสั่งซื้อวัตถุดิบเก็บ stock 2 เดือนแต่จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ 2 สัปดาห์และให้ลูกหนี้ชำระเงินยาวนานถึงเดือนครึ่ง (ทั้งๆที่เป็นผู้ขาย Rayon เจ้าเดียวในประเทศและมีสัดส่วนยอดขายในประเทศกว่าครึ่งของยอดขายรวม)

2) ค่าใช้จ่ายในการสร้างสัมพันธ์และประกันอนาคตสูง ถึงสูงมาก เพราะท่านเล่นเอาทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกือบครึ่งนึงของ asset ไปประกันลูกพี่อินโด (อันนี้ยากจะยอมรับ dividend ต่อเงินลงทุนยังกะฝากแบงค์), ประกันเชื้อเพลิงจากเจ้าดำ (แต่อันนี้พอรับได้เพราะ dividend ดี) และตัวแสบสุดๆก็บริษัทที่มีชื่อคล้ายๆกับบริษัทแม่ที่แม้แต่ dividend ก็ยังไม่ได้รับซักบาท (แถมไม่รู้ด้วยว่าเจ้านี่ช่วยอะไรให้ TR บ้าง) และล่าสุดประกันอนาคตอย่างไกลที่จีนและลาว

เหล่านี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินปันผล TR ไม่ไปไหนซักที

ไม่ทราบว่าวิเคราะห์ถูกหรือผิดอย่างไร โปรดชี้แนะด้วยครับ

ปล. ยังสงสัยอยู่ว่าหากพี่ท่านจะขายหุ้นอินโดที่เป็นลูกค้าออกไป เค้าจะไม่ซื้อกับ TR รึเปล่า หรือหากพี่ท่านขายหุ้นบริษัทที่ชื่อคล้ายๆแม่ออกไป จะส่งผลอะไรกับ TR บ้าง เพราะข้อตกลงการซื้อขายก็เป็นไปตามราคาตลาดอยู่ดี

ผมชอบมากกว่าหากผู้บริหารไม่ลงทุนแบบซื้อหุ้นบริษัทร่วม แต่ควบรวมเป็นบริษัทเดียวกัน แต่ต่างสาขาน่ะครับ (อันนี้ผมคิดเองเล่นๆ ไม่ทราบว่าเป็นไปได้รึเปล่า)

เพราะการถือหุ้นบริษัทร่วม สิ่งที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ก็คือกำไรทางบัญชีที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นเงินสดถึงมือเราเมื่อไหร่ นอกจากจะมีปันผลที่เหมาะสมเช่น TCB โดยกระแสของเงินจะเป็นแนวนี้

TR --> สร้างเงินสด --> เอาไปลงทุนในบริษัทร่วมโดยการถือหุ้นเพิ่ม --> ผู้ถือหุ้นในบริษัทร่วมก่อนหน้าซึ่งก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่ได้เงินเข้าเป๋า หรือนำไปขยายกิจการต่อไปเรื่อยๆ --> บริษัทร่วมเติบโตมีกำไร --> แสดงในส่วนแบ่งกำไรในงบ TR --> พอโตจนได้ที่ แทนที่จะจ่ายปันผล บริษัทแม่กลับสร้างกิจการใหม่ขึ้นมา --> บริษัทร่วมของเรานี้ก็เอาไปลงทุนต่อในบริษัทร่วมใหม่นั้น --> ไม่รู้จบ

จนกว่าจะมีกรณีแบบ TCB คือได้เป็นงินปันผลคืนกลับมา ไม่เช่นนั้น ก็เหมือนกับการลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้บริษัทแม่เท่านั้นล่ะครับ ในขณะที่ผู้ถือหุ้น TR ได้เพียงกำไรทางบัญชีที่ไม่มีวันจะกลับมาเป็นเงินสด หากบริษัทแม่ยังสร้างบริษัทใหม่และใช้เงินทุนจากบริษัทร่วมด้วยกัน แทนที่จะระดมทุนจากแหล่งอื่นๆ

ผลก็คือ wealth ของผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ถูกโอนอย่างละม่อม ทีละน้อย ทีละน้อย ไปที่บริษัทแม่ โดยบริษัทแม่ไม่จำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนใหม่เลย (มองในแง่ร้ายไปรึเปล่า)

จนกว่าซักวันหนึ่ง (ไม่รู้ว่ากี่สิบปีหรือกี่ร้อยปี) ที่บริษัทแม่จะหยุดการเติบโตหรือหยุดกิจการแล้วจ่ายเงินปันผลกลับมา

ในขณะที่การ take over มาเป็นบริษัทเดียวกันแบบ vertical integration จะทำให้สร้างมูลค่าได้โดยตรง เพราะช่วยลดต้นทุน (ปัจจุบันบริษัทยังต้องซื้อจากบริษัทร่วมในราคาตลาด) หรือเพิ่มรายได้ทางตรง ซึ่งผลออกมาก็จะเป็นเงินสดที่ได้ใน TR เองดัง flow นี้

TR --> สร้างเงินสด --> ลงทุนสร้างโรงงานผลิตเยื่อหรืออื่นๆโดยเป็นชื่อตัวเอง --> ต้นทุนลดลง --> กำไรเงินสดสูงขึ้น --> เงินสดสูงจนล้น --> ปันผลออกมา --> เงินที่เหลือไปหาที่ลงทุนต่อ --> ต้นทุนต่ำลงอีกหรือรายได้เพิ่มขึ้นอีก --> เงินสดสูงขึ้น --> เพิ่มปันผลอีก

จะเกิดอะไรขึ้นครับ หากบริษัทร่วมที่ลาวที่เพิ่งปลูกต้นไม้มีกำไรแต่ขยายตัวต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีการจ่ายปันผลกลับมาเป็นเวลาหลายๆปี ซึ่งเค้าเองสามารถโตได้ด้วยการเพิ่มทุนจากเงิน TR ที่คอยซื้อหุ้นเพิ่มเรื่อยๆ ทุกปีๆ

คำตอบก็คือ เงินสดหรือกำไรใน Retain earning ของ TR จะเป็นแหล่งเงินทุนชั้นดีให้บริษัทร่วม และจะแสดงให้เห็นในงบดุลเงินลงทุนของบริษัทร่วมที่โตเอาๆ แต่กลับไม่มีเงินปันผลตอบแทนกลับมาเลย โดยกำไรทางบัญชีส่วนหนึ่งจะได้มาจากส่วนแบ่งเหล่านี้ (ในขณะที่ปันผลยังต่ำเตี้ยเหมือนเดิม เพราะต้องคอยเอาเงินไปป้อนให้บริษัทร่วม) สังเกตได้จากกำไรทางบัญชีสูงขึ้นเรื่อยๆจากส่วนแบ่งบริษัทร่วม แต่เงินสดอิสระยังเท่าเดิม

ในขณะที่การที่บริษัท TR ไปเป็นคนปลูกป่าที่ลาวเอง จะให้ผลที่แตกต่างกัน นั่นคือกำไร TR จะสูงขึ้นเนื่องจากได้ต้นทุนที่ถูก ผลตอบแทนจะได้กลับมาเป็นเงินสดที่สูงขึ้นในงบดุล ไม่ใช่ เงินลงทุนในบริษัทร่วม และแน่นอนว่า เงินสดเหล่านี้จะกลับมาตอบแทนกลับให้ผู้ถือหุ้น TR โดยตรงในรูปแบบเงินปันผล

นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่การประเมินมูลค่ากิจการ ควรประเมินจากกระแสเงินสดอิสระ ไม่ใช่กำไรทางบัญชีที่สามารถโยกย้ายถ่ายเทให้สวยหรูโดยที่นักลงทุนรายย่อยไม่รู้ตัว

ผิดถูกอย่างไร ชี้แนะด้วยครับ

อ้อ อีกวิธีหนึ่งที่ผมคิดว่าบริษัทจะสามารถถ่ายเทเงินสดแบบเนียนๆไปให้บริษัทร่วมก็คือการซื้อขายโดยกำหนด term การชำระเงินครับ

เช่น ถ้า TR ต้องซื้อเยื่อกระดาษจากบริษัทที่แคนาดา แต่เนื่องจากน้องแคนาดากำลังเติบโตและต้องการเงินสดไปลงทุนต่อเนื่อง จึงขอให้ TR จ่ายเงินให้เร็วๆหน่อย จากเดิมที่ถ้าซื้อที่อื่น TR จะจ่ายเงินภายใน 60 วัน พอเป็นน้องแคปุ๊บ บริษัทใจดี 7 วันก็โอนเงินให้เลย งานนี้น้องแคสบายเพราะไม่ต้องกู้เงินเพิ่มซักนิด

คนที่ทำธุรกิจจะรู้ซึ้งดีถึงเจ้าตัว working capital ว่าสำคัญต่อการเติบโตขนาดไหน การที่ TR ยอมจ่ายเงินให้น้องแคเร็ว จะทำให้บริษัทต้องอั้นเงินไว้ก้อนหนึ่งเพื่อมาหมุน ส่งผลให้ไม่สามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้มากเท่าที่ควร

หรือถ้าน้องอินโดที่เป็นลูกค้า TR บอกว่า เค้าต้องการเงินหมุนเวียนเพิ่มขอให้ยืดระยะเวลาชำระหนี้จากปกติ 30 วันเป็น 60 วัน ก็จะส่งผลให้ TR ต้องอั้นเงินไว้อีกก้อน เพราะเงินไหลเข้ามาช้าลง

การที่บริษัทมี % working capital สุงๆจะทำให้เป็นอุปสรรคอย่างมากในการเติบโต เพราะยิ่งโต จะยิ่งต้องการเงินหมุนมากขึ้น

ผิดถูกอย่างไร รบกวนชี้แนะด้วยครับ

ปล. ผมมีหุ้นนิดนึงนะครับ ไม่อยากให้รีบซื้อกันจนราคาสูงเกินไป

ที่มา http://doodeemak.blogspot.com/2010/06/tr.html

 :wanwan017:

หาเพื่อนคุย:
กราฟ หุ้น  :: TR [บริษัท ไทยเรยอน จำกัด (มหาชน)]

http://siamchart.com/stock-chart/TR/

 :wanwan017:

หาเพื่อนคุย:
หุ้นหมัดน๊อค (ภาคขยายความ)
มีคนอยากให้ผมยกตัวอย่างหุ้นหมัดน๊อคที่เห็นได้ชัดๆในช่วงนี้ ... จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ค่อยกล้าที่จะมาทำนายล่วงหน้าเท่าไหร่ว่าหุ้นไหนจะเป็นยังไง... เพราะหลายๆครั้งก็มีพลาดอยู่เหมือนกัน.. บอกๆไปเดี๋ยวจะมีคนมาติดหุ้นตามจะซวยกันหมด ...

จริงๆแล้วระหว่างที่ผมเขียนบทความเจ้าหุ้นหมัดน๊อคอันที่แล้ว มีหุ้นอยู่ตัวนึงที่ผมนึกถึงอยู่คือบริษัทไทยเรยอน หรือมีตัวย่อว่า TR คุณสมบัติของ TR นี่เรียกได้ว่าเข้าแก๊ปจากบทความที่แล้วเป๊ะเลย .. คือมีแนวโน้มธุรกิจและผลกำไรที่ดี และมี PE ต่ำ

TR ที่ทำเส้นใยเรยอนครับ .. เป็นบริษัทระดับโลก อยู่ในกลุ่ม Grasim ซึ่งเป็นบริษัทอินเดีย มีคู่แข่งอยู่ในตลาดโลกอยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้น .. เรียกได้ว่าผูกขาดกลายๆเหมือนกัน เลยทำให้เป็นธุรกิจผลิตเส้นใยที่ดูไม่น่าจะมีกำไรดีเท่าไหร่ แต่ดันกำไรดีมากๆ เมื่อปีก่อนมี Gross Profit Margin ประมาณ 22-23 กว่า % ซึ่งสูงมากๆ สำหรับธุรกิจที่ดูน่าเบื่อแบบนี้

ผมมาเจอมันเมื่อประมาณกลางๆปี 50 เห็นว่าบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตอย่างมาก จากที่ไม่ได้ขยายมากนาน.. ก็เลยดูว่าน่าจะมีอะไรดีให้ติดตาม เลยค้นไปต่อ .. พยายามหาราคาเส้นใยเรยอนจาก Google แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่พอดีไปเจอราคาของ Cotton ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนกัน .. ผมก็เลยเอาราคาของ Cotton เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ .. ก็เห็นว่าราคา Cotton นั้นก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดเอาเองว่าเรยอนก็น่าจะขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะถ้า Cotton แพง คนก็จะเปลี่ยนไปใช้เส้นในอื่น .. พอมาใช้เรยอนเยอะขึ้น ตามหลัก Demand Supply ก็น่าจะทำให้เรยอนเพิ่มตาม ... แต่หลักฐานที่ชัดเจนว่าจะดีก็ยังไม่มีครับ เพราะเป็นข้อมูลที่เดาๆเอาเอง

แต่พอดูจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว จากเดิมมีกำลังประมาณ 3 สายการผลิต .. บริษัทเพิ่มในช่วงต้นปี 50 ไป 1 สาย .. และมีกำลังลงเครื่องจักเพิ่มปี 51 อีก 1 สาย แถมสายการผลิตใหม่ก็เป็นสายที่ทันสมัยกว่า สามารถผลิตเส้นใยเรยอนก็ได้ .. หรือเส้นในโมดาลก็ได้ (ซึ่งเป็นเส้นใยที่กำไรดีกว่าเรยอนอีก) นอกจากนี้บริษัทยังขยายโรงงานไปทำวัตถุดิบเอง ทั้งคาร์บอนไดซัลไฟ รวมถึงย้อนไปปลูกต้นไม้ที่เป็นวัตถุดิบหลักอีกตัวหนึ่ง .... เห็นแบบนี้แล้วผมก็ดูว่าแม้ราคาเรยอนไม่ได้เพิ่มขึ้น (ซึ่งผมดูจากราคา Cotton แล้วก็น่าจะขึ้นนะ) ลำพังแค่กำลังการผลิตที่เพิ่มใหม่ก็น่าจะทำให้บริษัทมี Growth ในระดับที่ดีได้แถว 25-30% ถ้าราคาเส้นใยยังเพิ่มขึ้นได้อีก .. Growth ของกำไรอาจจะได้เห็นเกิน 30-35% ได้

ตอนที่ผมซื้องบออกมาแล้ว 2 ไตรมาสได้กำไรประมาณ 4.4 บาทต่อหุ้น ผมคิดแบบง่ายๆคือเอา 2 คูณไปเป็น 8.8 บาทต่อหุ้น เป็นกำไรทั้งปีแบบหยาบๆ ตอนนั้นหุ้นราคาประมาณ 40 บาทคิดเป็น PE ประมาณ 4.5 เท่าซึ่งน่าสนใจมากๆกับหุ้นที่มี Growth แบบนี้ และถึงแม้ว่ากำไรอาจจะไม่เป็นไปตามที่ผมคาด แต่ด้วยราคาที่ซื้อมาไม่แพงเทียบกับ PE แล้ว ผมว่าความปลอดภัยก็น่าจะมีระดับหนึ่ง เลยซื้อหุ้นเข้าไปเรื่อยๆ

ผมซื้อหุ้นไปไม่นานได้ราคาเฉลี่ยแถวๆ 44 บาท งบก็ประกาศออกมาว่าบริษัทได้กำไรในไตรมาส 3 ประมาณ 3.2 บาทต่อหุ้น .. ซึ่งเกินที่ผมตั้งใจว่าจะเป็น 2.2 บาทไว้สูงมาก ราคาหุ้นก็ไปยืนอยู่แถวๆ 50 บาทอยู่ได้พักใหญ่ ... ณ ตอนนี้ผมมีผลตอบแทนแล้วประมาณ 13-14% ซึ่งก็ไม่น้อยเลยด้วยระยะเวลาสั้นๆ .....

สาเหตุที่งบออกมากำไรดีนั้น เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ (สายที่ 4) ทำให้บริษัทผลิตสินค้าออกมาขายได้มากขึ้น บวกกับราคาเส้นในเรยอนนั้นสูงขึ้นจนทำให้ Gross Margin ที่เคยทำได้ประมาณ 23 ต้นๆนั้นพุ่งไปถึง 30% .... ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าผมเริ่มมาถูกทางแล้ว กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นก็เห็นผลชัดเจนดี ราคาเรยอนก็เพิ่มขึ้นตามที่คิดไว้ (จริงๆเพิ่มสูงกว่าที่คิดไว้เยอะเลย แฮะๆ) ผมก็เลยถือหุ้นต่อไป แม้หุ้นจะไม่ค่อยขยับไปมากเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับกำไรที่เกินคาดขนาดนี้ ....

แต่เมื่อไม่นานมานี้อาจจะด้วยว่ามีคนมาสนใจหุ้น TR เพิ่มมากขึ้น และเห็นว่าน่าจะมีแนวโน้มที่ดี จากหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครสนใน Trade กันที่ PE ประมาณ 5-6 เท่ามาตลอด .. ราคาเริ่มไต่ขึ้นมาเรื่อยๆจนมาสูงถึง 70 บาทในเวลาไม่นานมาก ... (ณ เวลานี้ผมได้ผลตอบแทนไปแล้ว 59%) ซึ่งกำไรที่ทำไว้ 3 ไตรมาสแรกประมาณ 8 บาทนั้น เมื่อรวมกับกำไรในไตรมาส 4 ที่ผมคาดไว้น่าจะประมาณ 3 บาท (ให้น้อยกว่าไตมาส 3 ที่ทำได้ 3.2 บาทนิดหน่อย เพื่อความปลอดภัยในการประมาณ) จะทำให้ TR มีกำไรทั้งปีประมาณ 11 บาท เทียบกับราคา 70 ก็ Trade กันที่ PE 6.4 เท่าซึ่งสูงกว่าที่เคยเป็นมาพอสมควร ... (ผมแอบหวังว่าตลาดให้ความสนใจมากขึ้นจะปรับ PE ของ TR ให้เพิ่มขึ้นได้กว่าที่เคยเป็นที่ 5-6 มาอยู่ในระดับ 6-7 เท่า)

จากการที่ผลกำไรของบริษัทนั้นดีขึ้นเรื่อยๆจากการขยายกำลังการผลิตสายที่ 4 และราคาเส้นในที่สูงขึ้น ทำให้ไตรมาส 3 ทำกำไรได้ประมาณ 3.2 บาท ผมก็คิดต่อเอาเองเล่นๆว่า ในช่วงเดือนมีนาปี 51 สายการผลิตสายที่ 5 จะสามารถเริ่มผลิตได้ตามแผน บวกกับการที่บริษัทย้อนกลับไปทำวัตถุดิบเอง ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรที่น่าจะสูงขึ้นกว่า 3.2 บาท ..

ผมแอบฝันไปว่าบริษัทจะทำกำไรได้ถึง 4 บาทต่อไตรมาส ... (เพื่อนๆก็เตือนๆกันบ้างอยู่เหมือนกัน ว่าฝันเกินไปรึเปล่า) แต่คิดในใจแล้วทั้งปีก็น่าจะได้ 16 บาท ... เอ้า เป็น 15 ก็ได้.. ลดให้นิดนึง ที่ราคาแถวๆ 68-70 บาทก็คิดเป็น PE เพียง 4.67 เท่าเท่านั้นเอง ...

แม้ราคามันจะขึ้นมาเยอะ แต่กำไรมันก็วิ่งเร็วไม่แพ้กัน ทำให้ PE มันยังไม่สูงมาก เห็นยังนี้แล้วผมก็เลยซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีกนิดหน่อยแถวๆ 68-69 บาท โดยคาดหวังว่าไตรมาส 4 จะทำกำไรได้ซัก 3 บาท แล้วค่อยเพิ่มเป็น 4 บาทต่อไตรมาสในไตรมาสต่อๆไป ....

ณ เวลานี้มีพี่ๆบางคนผมว่า บริษัทอาจจะทำได้ถึงไตรมาสละ 5 บาทก็ได้เป็น .. แต่ผมก็ยังว่ามันดูเยอะไปหน่อย ... แค่ 4 บาทผมก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว ... ถ้าทำได้ 15 บาทต่อหุ้นแล้ว PE 8 เท่า ราคาอาจะได้เห็น 120 บาท ... นี่คิดจากที่ผมซื้อครั้งแรกแถวๆ 44 เป็นผลตอบแทนถึง 172% เลยนะเนี่ย

ระหว่างนี้ก็ยังมี Update ราคาเส้นใยอยู่บ้าง ... หาราคา Cotton ดู ก็ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ .... แม้จะคิดไว้แต่แรกว่าไตรมาส 4 นี่ทำได้ 3 บาทก็ดีแล้ว....

เมื่อเย็นวันนี้นี่เอง งบ TR ไตรมาส 4 เพิ่งออกมาให้เห็น .... ผมเห็นกำไรแล้วก็ตกใจตะลึง .. O_O บริษัทสามารถทำกำไรได้ประมาณ 4.4 บาทเลย ... เกินที่ผมคิดไว้เยอะไปไกลมาก ไปดูในงบให้ละเอียดขึ้น ก็เห็นว่ารายได้เพิ่มขึ้นมาก (ผมนับเฉพาะรายได้จากการขายนะครับ คนที่ไปดูงบแล้วดูรายได้รวมอาจจะต่างจากที่ผมเขียนไว้)

... จากปีที่แล้วทำได้เฉลี่ย Q ละ 1300 มา Q1-1418, Q2-1596, Q3-1915 และ Q4 ทำได้สูงถึง 2336 ล้านบาท และ Margin ก็เพิ่มจาก Q3 ที่สูงมากอยู่แล้วที่ 30% มาเป็น 37% .... แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเส้นใยเรยอนต้องมีราคาเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ บริษัทถึงทำกำไรขั้นต้นเป็น % ได้สูงมากขนาดนี้

วันนี้งบออก ไม่รู้พรุ่งนี้ราคาหุ้นจะเป็นยังไงบ้าง .. เสียดายที่ผมซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ไม่เยอะมาก (เพราะปัญหาเรื่องสภาพคล่อง + กับตังค์หมดพอดี) ถ้าซื้อไว้เยอะๆคงจะกำไรเยอะกว่านี้อีกเพียบ .. (สุธาษิตจากพี่พอใจใน ThaiVI ที่บอกว่า "รู้อะไรไม่สู้รู้งี้" ยังคงใช้ได้ดีเสมอในทุกสถานการณ์)

วันนี้พี่ที่บอกไว้ว่ากำไรต่อหุ้นปีหน้าได้ซัก 5 บาท ก็อาจจะไม่ใช่ฝันเกินจริงๆแล้วก็ได้ครับ ... ถ้าทำได้จริงบริษัทมีกำไรทั้งปีที่ 20 บาทต่อหุ้น .. บวกกับการที่คนมาสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้น เห็นความแข็งแกร่งและแนวโน้มธุรกิจที่ดีมากขึ้น อาจจะทำให้ PE ไปถึง 8 เท่า ... ราคาหุ้นคงมีลุ้นที่ 160 บาทได้ ... คิดจากราคาที่ 44 บาทซึ่งเป็นทุนของผม ... คิดได้เป็นผลตอบแทนถึง 264% ในระยะเวลาปีมาณ 1 ปีกว่าๆเท่านั้นเอง

นี้แหละครับ .. หุ้นหมัดน๊อค ที่ผมพูดถึง พอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นรึยัง ....

ปล.1 ราคาหุ้นในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เกินคาดเดาครับ .. ที่ผมเขียนไปเป็นการคาดการณ์ของผมเองล้วนๆ โอกาสผิดพลาดก็อาจจะมีสูง เพราะเวลาที่ถือหุ้นตัวไหนอยู่เยอะๆ ผมชอบจะมีอาการ Bias คิดเข้าข้างหุ้นตัวเองอยู่พอสมควร .. ต้องระวังจุดนี้ด้วย (เพราะผมเชื่อว่าได้อาการเข้าข้างหุ้นตัวเองที่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับที่เป็น .... คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นกันทั้งนั้น)

ปล.2 มีหลายครั้งที่ผมคิดผิดในหุ้นบางตัว ... เช่นกำไรไม่เป็นไปตามที่คาดบ้าง ไม่ค่อยมีคนมาสนใจบ้าง..ทำให้ PE ที่น่าจะสูงขึ้นกลับนิ่งอยู่เหมือนเดิม ... ก็ทำให้ผลตอบแทนไม่ได้สูงอย่างที่ตั้งใจ .. แต่อย่างไรก็ตาม .. การที่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำ แม้กำไรจะไม่ดีอย่างที่คิด .. หุ้นก็มักจะไม่ลงแรง หรือการซือ้หุ้นที่มีกำไรเติบโตที่พอใช้ แม้ PE ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น เราก็ยังได้ผลตอบแทนเท่าๆกับกำไรที่เติบโตซึ่งก็ยังดี นอกจากจะเป็นเหตุการณ์ที่แย่ที่สุด คือนอกจากกำไรจะไม่โตแล้ว ยังกำไรลดลงด้วย .. และยิ่งกำไรลดลงคนก็อาจจะมองหุ้นแต่ลง PE ก็อาจจะโดนปรับลดลงได้ ... ทำให้ขาดทุนได้เหมือนกัน ... เพราะฉะนั้น จะซื้อหุ้นอะไรต้องศึกษาให้ดีนะครับ ไม่ใช่เห็นใครบอกว่าดีก็ซื้อๆตามโดยไม่ได้ดูพื้นฐานด้วยตัวเอง โอกาสขาดทุนมันสูง ...

ที่มา http://thai-value-investor.blogspot.com/2007/11/blog-post_29.html

 :wanwan017:

หาเพื่อนคุย:
tr เป็นหุ้นตัวนึงที่ผมติดตาม และเคยเขียนกระทู้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วครับ

หุ้น2ตัวนี้ไม่มีคำว่าสายหากคิดจะซื้อ

ก่อนที่ราคาจะขึ้นไปปลายปีที่แล้ว ผมถืออยู่นิดหน่อยที่ 35 บ.เพราะเก็งว่าการขยายกำลังการผลิตเสร็จแล้ว กำไรน่าจะเพิ่มขึ้น แต่พอได้กำไร 10% ผมก็ขายไปซะแล้วจำได้เลาๆว่าเจอตัวไหม่ที่น่าสนใจกว่า

หลังจากนั้นราคาก็ขยับตัวขึ้นตลอด จนต้นปีนี้ไปถึง 90 บ. สาเหตุที่ราคาหุ้นขึ้นไปมาก ผมก็เดาๆว่ามีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการเช่นกัน เงินเข้ามามากแต่หุ้นไม่มีสภาพคล่อง ราคาก็เลยขึ้นไปเยอะอย่างที่เห็น

เผอิญอีกเหมือนกันที่ผลประกอบการช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมาดีมากๆ เลยทำให้ทุกอย่างดูดีไปหมด จำได้ว่าประกาศผลประกอบการ ผมยังอยากจะซื้อที่ราคาเปิดเลยครับ คิดง่ายๆว่าเอา q ล่าสุดคูณ 4 เลย ที่ราคา 80บ. P/E ยังต่ำมากเลย แต่ด้วยความระแวดระวังผมอ่านรายงานผลการดำเนินงานของ MD อ่านรายงานประจำปี 56-1 56-2 และฟังจากเพื่อนๆที่ไปประชุม เริ่มมีสัญญานเตือนจากผู้บริหารทำนองว่าที่กำไรเพราะมีสต็อควัตถุดิบราคาต่ำ

ผมกลับไปดูผลการดำเนินงานในอดีตปรากฎว่า 5 ปีที่ผ่านมามีปี 2004 ไตรมาสเดียวที่มีกำไรขั้นต้นสูงสุดที่ 34% แต่ปี50 ที่ผ่านมา 2 ไตรมาสล่าสุด tr มีกำไรขั้นต้นถึง 37 และ 40% ตามลำดับ ผมชักลังเลว่าเป็นกำไรที่ too good to be true หรือเปล่าไม่คอ่ยแน่ใจเหมือนกันเพราะนอกจากมีสต็อคราคาต่ำแล้ว อาจเป็นเพราะบริษัทเริ่มผลิตสินค้าที่มีมาร์จินสูงก็เป็นได้ (modal)

ส่วนที่ราคาลงมามากในตอนนี้ ผมก็เดาอีกละว่านักลงทุนที่เคยซื้อ พอเริ่มมีข่าวด้านลบหรืออาจเป็นเพราะต้องการทำกำไร ก็ขายหุ้นออกมา ทั้งแบบมีจริยธรรมและไม่มีจริยธรรม (ไม่รู้เหมือนกันว่าต่างกันอย่างไร ) ส่วนที่ว่าน่าจะเข้าไปรับหรือเปล่าเพราะราคาลงไปมาก

ถ้าสมมุติเป็นผมคงไม่เข้าซื้อหุ้นเพียงเพราะราคาลงมามากเพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามั่นใจว่าบริษัทจะยังทำกำไรได้ดี กำไรไม่ตกหรือตกไม่มาก เราสามารถเข้าถึงราคาเรยอน ราคาวัถตุดิบ ผมก็อาจจะเข้าไปรับครับ แต่ถ้าไม่มีข้อมูล ผมก็คงไม่กล้าเพราะนั่นคือความไม่แน่นอน เป็นความเสี่ยง

ที่มา http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=33509&postdays=0&postorder=asc&start=30

 :wanwan017:

หาเพื่อนคุย:
หุ้น tr ดีจริงหรือ

http://203.150.20.122/~thaivi/board/viewtopic.php?p=31357

 :wanwan017:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version