'แพทย์ทางเลือก' ยืนยันผลวิจัย - ปัสสาวะบำบัดปลอดภัย การใช้ปัสสาวะบำบัดตามแนวพุทธกำลังเป็นกระแสนิยม หลังจากเป็นที่รู้จักในไทยเมื่อ 10 ปีก่อน มาวันนี้หลายคนยังสงสัยว่าปัสสาวะสามารถบำบัดได้จริงหรือไม่
“ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” ได้สัมภาษณ์ “นพ.เทวัญ ธานีรัตน์” ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก เกี่ยวกับความเป็นจริงของการดื่มปัสสาวะบำบัด พร้อมข้อมูลรองรับจาก “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา”
“นพ.เทวัญ” ให้ความเห็นในการนำปัสสาวะมาใช้บำบัดว่า การนำปัสสาวะมาใช้บำบัดมีมานานแล้ว และอยู่ในพระวินัยด้วย โดยศาสตร์นี้ได้ถูกแนะนำให้ใช้มายาวนานกว่า 2,500 ปีแล้ว และเกือบทุกประเทศในฟากตะวันออกก็มีการดื่มปัสสาวะตรงนี้
โดยจากการวิจัยของสำนักงานการแพทย์ทางเลือกจากกลุ่มตัวอย่าง 200 กว่าคนเมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็พบการดื่มนำปัสสาวะปลอดภัย เพราะยังไม่มีหลักตัวใดที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นสิ่งอันตราย นอกจากนี้ ชมรมผู้ดื่มน้ำปัสสาวะก็มีการแวะเข้ามาให้ข้อมูลยืนยั่นถึงการรักษาโรคได้จริงกับสำนักฯ ด้วย
“เราเก็บข้อมูลจากคน 200 คนเขาก็บอกว่าได้ผลดี มีสุขภาพดี ยังไม่มีใครที่บอกว่าดื่มแล้วอันตราย การจะดื่มน้ำปัสสาวะหรือไม่ดื่ม เรามองว่าเป็นสิทธิของทุกคน เป็นสิ่งที่ประชาชนเขาเลือกเองว่าจะใช้หรือไม่ ในมุมของแพทย์แผนปัจจุบันก็มองว่าเสี่ยง แต่ในแพทย์ทางเลือกก็บอกว่าดี เป็นการดูแลสุขภาพ”
แม้ว่าการดื่มน้ำปัสสาวะจะไม่อันตรายอย่างที่มีการเก็บข้อมูล แต่ในมุมมองของ “นพ.เทวัญ” แล้วเชื่อว่า การจะเปลี่ยนให้มาดื่มปัสสาวะก็เป็นเรื่องที่ยากแล้ว ดังนั้น คนที่ดื่มส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วย คนที่ไม่ป่วยเชื่อว่าไม่น่าจะดื่ม
ส่วนคำแนะนำในการดื่มปัสสาวะนั้นอยากให้คนที่ป่วยเท่านั้นที่ดื่ม คนที่ไม่ป่วยก็ไม่ต้องดื่ม ส่วนปัสสาวะที่นำมาดื่มควรเป็นปัสสาวะของตนเอง และควรเตรียมใจก่อนที่จะดื่ม
“การที่ปัสสาวะของตนเองจะสะอาดหรือไม่สะอาดอยู่ที่การกินอาหารของแต่ละคนด้วย แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นโรคก็ตามแต่ปัสสาวะที่นำมาดื่มไม่ใช่ออกมา 1 ลิตรก็ดื่ม 1 ลิตร แต่เขาจะมีสัดส่วนที่บอกให้ดื่ม ถ้าเรากินปัสสาวะของตัวเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าไปดื่มของคนอื่นน่าจะมีปัญหา”
สำหรับประโยชน์ของการดื่มน้ำปัสสาวะ คือ ไม่สิ้นเปลือง และดีต่อสุขภาพตามที่ได้เก็บข้อมูลมาก
นอกจากนี้ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” ได้สำรวจเว็บไซต์ของทางสำนักฯ พบว่ามีการนำข้อมูลเกี่ยวกับปัสสาวะบำบัดมาลงในหน้าเว็บไซต์
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=category&id=49&Itemid=136 โดยมี 3 หัวข้อหลัก คือ “การศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดของเครือข่ายชาวอโศก” “การรวบรวมองค์ความรู้เรื่องปัสสาวะบำบัด” และ “การบรรยายวิชาการเรื่องปัสสาวะบำบัด”
โดย “การศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดของเครือข่ายชาวอโศก” จะบอกถึงการทำวิจัยกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นชุมชนชาวอโศกที่มีการใช้น้ำปัสสาวะบำบัด จำนวน 204 คน โดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นเองกับชาวชุมชนอโศก
ผลสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 204 ราย อายุเฉลี่ย 51.3 (14.1) ปี พิสัย 18-87 ปี เป็นหญิง 61.3% การศึกษาระดับประถมศึกษา 42.6% มัธยมศึกษา 21.1% โดยที่ 68.8% อาศัยอยู่ในเขตเมือง/เทศบาล ในด้านอาชีพส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติธรรม 40.7% รับจ้าง 14.7% และข้าราชการบำนาญ 10.3%
สำหรับแหล่งข้อมูลความรู้กลุ่มตัวอย่างทราบข้อมูลเรื่องปัสสาวะบำบัดมาจากพระ 46% จากญาติธรรม 40% จากการอ่านหนังสือ 36% และจากพระไตรปปิฎก 29% สำหรับวิธีการใช้ ใช้ดื่ม 96% (โดยเฉลี่ยดื่มครั้งละ 1 แก้ว 1 ครั้ง/วัน) ใช้ทา 28% ใช้หยอดตา 32% ใช้สระผม 19% ใช้อาบ 12%
ส่วนสาเหตุหลักที่จูงใจให้ใช้ำน้ำมูตรบำบัด 58% ตอบทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า 38% ตอบมีผู้แนะนำให้ใช้ และ 29% คิดว่าไม่มีผลข้างเคียง ระยะเวลาที่ใช้เฉลี่ย 6.2(6.2) ปี โดยที่ 52% ใช้ปัสสาวะบำบัดเพื่อรักษาโรค 40% ใช้เพื่อให้มีสุขภาพดี แข็งแรง และ 31% ใช้เพื่อป้องกันโรค ผลข้างเคียงและอาการไม่พึงประสงค์หลังใช้น้ำมูตรบำบัด พบว่า ส่วนใหญ่ 85% ไม่มีอาการ 10% มีอาการ คือ ท้องเสีย 5 ราย (2.5%) ไข้ อ่อนล้า คัน อย่างละ 2 ราย (1%) ส่วนใหญ่ของผู้ใช้ 87% ตอบได้ผลจากการใช้น้ำปัสสาวะบำบัด และ 84% ได้แนะนำให้ผู้อื่นใช้ด้วย
หัวข้อที่ 2 คือ “การรวบรวมองค์ความรู้เรื่องปัสสาวะบำบัด” ส่วนนี้จะบอกถึงประวัติของปัสสาวะบำบัดที่มีมาตั้งแต่พุทธกาล พร้อมทั้งส่วนประกอบของน้ำปัสสาวะตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยจากงานวิจัยของ “ดร.ฟารอน นักชีวเคมี” พบสารต่างๆ ในปัสสาวะ 95% เป็นน้ำ 2.5% เป็น urea และ 2.5% เป็นสารอื่นๆ เป็นส่วนผสมของเกลือแร่ เกลือ ฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุ้มกัน แต่นักวิจัยยังเชื่อว่ายังมีสารอีกมาที่ไม่รู้จักในปัสสาวะ
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการรักษาโรค โดย “ดร.อัสเบิร์ต เซนต์ กีออร์กี”นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลได้ทดลองใช้สาร methyl gloxal ซึ่งพบในปัสสาวะรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจในหลายราย พร้อมทั้งบอกวิธีการใช้ปัสสาวะบำบัดที่ปัจจุบัยใช้กันอยู่ทั้งแบบภายนอกและภายใน รวมทั้งการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิผล ความสมประโยชน์ของการใช้ปัสสาวะบำบัด
หัวข้อสุดท้าย “การบรรยายวิชาการเรื่องปัสสาวะบำบัด” โดยนพ.บรรจง ชุณหสวัสดิกุล ที่จะบอกทั้งประวัติ วิธีการดื่ม ประโยชน์ของปัสสาวะ
ด้านมุมมองของ “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา” (อย.) เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับการดื่มปัสสาวะเพื่อบำบัดโรคว่า เป็นความเชื่อตามตำราการแพทย์แผนโบราณ และยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังถึงผลที่ได้รับจากการรักษาโรค แต่หากปัสสาวะที่ใช้ดื่มไม่มีเชื้อโรค สารปนเปื้อนก็สามารถนำมาดื่มได้
อย่างไรก็ตาม โดยปกติปัสสาวะของคนจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ แต่ปริมาณไม่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล ยิ่งมีการค้างไว้มากโอกาสจะมีเชื้อโรคก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะปัสสาวะในผู้ที่เป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบไม่ควรนำมาดื่ม เพราะมีจำนวนเชื้อโรคสูง
ดังนั้น สิ่งที่ อย.ขอแนะนำ คือ ทางเลือกอื่นๆ ในการรักษาโรคยังมีอยู่ ผู้ที่จะนำปัสสาวะมาดื่มควรชั่งน้ำหนักให้ดี นอกจากนี้โดยปกติทั่วไปในร่างกายมีสารต้านโรคมะเร็งอยู่แล้ว รวมทั้งในอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน การดื่มน้ำปัสสาวะจึงไม่คำตอบสุดท้าย