●● ท่องเที่ยววันหยุด วาไรตี้แสนสนุก! เรื่องราวฮอตฮิต! สิ่งที่คุณเห็น...จะทำให้คุณต้องตะลึง คลิ๊ก! ●●

หาเพื่อน หาแฟน หาคู่

เล่นเกมส์

ดูดวง

สูตรวิเศษ สาระน่ารู้ เรื่องสุขภาพ

งาน - อาชีพเสริมทำเงินล้าน

ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไหมว่า ทำไม คนจนยิ่งจน และคนรวยยิ่งรวย ?  (อ่าน 2104 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Adminis

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1206
  • ถูกใจ 116
    • เมทไทยดอทคอม | MateThai
สาเหตุที่คนจนยิ่งจน คนรวยก็ยิ่งรวยยิ่งขึ้น
นายโรเบิร์ต รีช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ในสมัย ประธานาธิบดี คลินตัน กล่าวว่า
ในศรษฐกิจยุคใหม่ ที่มีรายได้ ที่ไม่อาจคาดเดาได้
รายได้มีแค่สองทางเท่านั้น คือ ทางด่วน กับทางช้าเท่านั้น
มันไม่มี ทางระหว่างกลางเลย…

นั่นคือ สาเหตุที่คนจนยิ่งจน คนรวยก็ยิ่งรวยยิ่งขึ้น
เพราะบนเส้นทาง แห่งความร่ำรวย มันไม่มีทางระหว่างกลางเลย

คำถามคือ แล้วคุณมีรายได้ เป็นแบบทางด่วน หรือทางช้าล่ะ?

http://www.job.matethai.com/hope/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2/

 :wanwan003:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 30, 2017, 12:23:29 PM โดย Admin »

ออฟไลน์ postbkk

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 253
  • ถูกใจ 12
Re: รู้ไหมว่า ทำไม คนจนยิ่งจน และคนรวยยิ่งรวย ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2014, 02:32:05 PM »
ตีแตกประสบการณ์ The 4-Hour Work Week 1 ปีครึ่ง Gross Earn 400,000 บาทจากการทำงานสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง

มนุษย์เงินเดือนนักล่าฝัน คนทำธุรกิจ และคนรุ่นใหม่หัวใจออนไลน์ แทบไม่มีใครไม่รู้จักหนังสือขายดี 7 ปีซ้อน The 4-Hour Work Week โดย Tim Ferrisss หรือชื่อภาษาไทย “สบายดีแต่รวยได้” Tim Ferriss ตระเวนนำหนังสือเรื่องนี้ไปเสนอสำนักพิมพ์ไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง กว่าที่จะมีสำนักพิมพ์ที่สนใจจะตีพิมพ์งานของเขา

เหตุเพราะแม้เพียง 7 ปีที่แล้ว แนวคิดพวก ทำน้อยได้มาก, งานไม่ประจำทำเงินมากกว่า ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง คนยังชื่นชมในเรื่องของระบบ Corporate ladders หางานบริษัทใหญ่ ทำงานมั่นคง โตไปตามลำดับ จับให้มั่นคั้นจนเกษียณ Pattern ชีวิตพิมพ์นิยม!

จะบังเอิญหรือรู้ทันแต่ยอมรับว่า Tim Ferriss เขียนหนังสือนี้เพื่อดักตลาดในอนาคตเพราะหลังจากสำนักพิมพ์ผู้เห็นแววจับต้นฉบับมาตีพิมพ์โลกก็เข้าสู่ยุคที่ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจกับ Passion and Freedom การทำงานที่รักและมีอิสรภาพ รวมไปถึงยุค Remote working หรือการทำงานจากระยะไกล การ Freelance และการ Outsource หนังสือเล่มนี้จึงตอบโจทย์คนในสมัยนี้และสมัยหน้าต่อไปอีกหลายสิบปี!

ส่วนตัวผมนั้นเดิมที่ก็มีความเชื่อเรื่องการทำงานหนักมาก่อน ตอนเห็นหนังสือชื่อหนังสือเล่มนี้ผมจึงเกิดอารมณ์ Anti คิดว่าเป็นหนังสือแนว Spam หรือเปล่า มั่วหรือเปล่าคนอะไรทำงานสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมงรวย และผมใช้เวลาถึง 3 ปีในการตัดสินใจชื้อหนังสือเล่มนี้

หลังจากที่เพื่อนๆในวงการ Internet marketing ของผมเอามาพูดมาโชว์กันถ้วนหน้า โดยเฉพาะคุณอั้ม เจ้าของเว็บ Asuradech.com ที่เชียร์หนังสือเล่มนี้สุดใจ และคุณวิชญ์ Vittarot.com ที่ถึงกับลงทุนเหมาเข่งสต็อกล็อตสุดท้ายมาขายและขายในราคาสูงกว่าราคาตลาดก็ยัง SOLD OUT! ผมคิดว่า อ้าวชิบหายแระ ผมต้องลองหามาอ่านบ้าง

เพราะถ้าของไม่ดีจริงผลตอบรับคงไม่โหดแบบนี้ ผมซื้อเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาอ่านและจะพาทุกคนเดินทางเข้าสู่ประสบการณ์ The 4-Hour Work Week ที่สังเคราะห์ออกมาให้ง่ายและมีคนไทยทำได้แล้ว… ก็ผมนี่แหละคนหนึ่ง!

ทำงานประจำ ทำหนักให้ตายก็ไม่รวย

ผมเคยเชื่อว่าการทำงานหนักคือสิ่งที่ดีเพราะมันจะทำให้คุณก้าวหน้าและร่ำรวย แต่นานวันความเชื่อนี้ลดลง ซึ่งผมไม่ได้หมายความความขี้เกียจนั้นดีกว่า —การทำงานหนัก ตั้งใจ และทุ่มเทยังคงให้ผลลัพธ์เรื่องพัฒนาการและรายได้ แต่คุณต้องอยู่ถูกที่ถูกเวลา ปัญหาคือระบบองค์กรสมัยนี้ไม่ทำให้คนทำงานหนักก้าวไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต ไม่ได้อิสรภาพทางการงานและการเงิน เพราะคุณติดอยู่ภายใต้ระบบ หรือ Fixed-System

องค์กรขนาดใหญ่มีระบบที่แข็งแกร่ง ใช้ระบบคุมคน คนทำงานแทบจะเป็น Commodity หรือ Robot คุณถูกบรรจุลงในตำแหน่งแล้วนั่งทำงานตามระบบที่วางไว้ รายได้เป็น Fixed income (ตายตัว) และ Flat rate (อัตราเดียว) ทำน้อยทำมาก ได้เท่าเดิม เพียงแต่มันมีหลักประกันว่าคุณได้เท่าเดิมทุกเดือนไม่ว่ายอดขายและกิจการของบริษัทจะขึ้นจะลง ตรงนี้เป็น Safety ที่เจ้าของให้คุณ และเป็นที่มาของ Comfort zone

พอเป็นแบบนี้เราอาจจะเคืองเจ้าของแต่อย่าไปเคืองเขาเพราะว่าเจ้าของกิจการเป็นหนังหน้าไฟแบกรับความเสี่ยงทั้งหมดแทนคุณ เขาต้องลงทุนก้อนใหญ่ สร้างกิจการ สร้างระบบ ซื้อสต็อกสินค้า และจ้างคนมาทำงาน แถมยังมีสวัสดิการให้คุณ เจ้าของคือคนที่ลงทุนสร้างธุรกิจ High risk = High return เมื่อธุรกิจประสบผล เงินไหลเข้าจึงมหาศาล

ส่วนคุณล่ะ? ก็คุณอยู่ใน Comfort zone! คุณมาแต่ตัว เอาตัวมา Fill-in ตำแหน่ง ฉะนั้น Return ของคุณก็ได้แค่นิดเดียวคือเงินเดือน Fixed-rate นี่เป็นเรื่องธรรมดาเลย ทำงานประจำมีระบบรองรับมีหลักประกันมีสวัสดิการ ทำมากทำน้อยได้เงินแน่ๆ แต่เท่าเดิมและยากที่จะรวย

ทำธุรกิจ? ธุรกิจที่ใครก็ทำซ้ำๆทำตามๆกันได้ก็ไม่รวย

อ่ะ! ต่อมา ไม่ปงไม่เป็นแล้วมนุษย์เงินเดือน อยากรวยต้องทำธุรกิจ ทำธุรกิจอะไรดี?…. มนุษย์เงินเดือนที่อยากทำธุรกิจจะนึกถึงขายของ ขายอะไร ขายเสื้อ ขายผ้า ขาย Gadget ไม่ใช่แค่คนไทย ฝรั่งก็เป็น ไม่รู้จะขายอะไรก็ขายเสื้อผ้า!

The 4-Hour Work Week มีกรณีศึกษา ธุรกิจขายเสื้อผ้า ถ้าทำออกมาแล้วไม่มีจุดเด่น ทำให้มันกลายเป็น Mass ขายไปทั่ว ขายที่ไหนก็ได้ สุดท้ายมันจะกลายเป็น Price war กรณีศึกษาที่หนังสือเล่มนี้บอกมา คนผลิตเสื้อเอาไปขายทุกห้าง พอทุกห้างมีขาย ห้างต่อห้างก็ Compete กันเอง พอห้าง Compete กันเองพวกเขาก็หันกลับมาหาที่ตัวผู้ผลิตว่าต้องลดราคาลงอีกเพื่อให้ห้างขายได้ในราคาปลีกเท่ากันทุกเจ้าแต่กำไรของห้างต้องเท่าเดิม สุดท้ายกลายเป็นผู้ผลิตผู้เป็นเจ้าของสินค้าไม่มีอำนาจต่อรอง อำนาจต่อรองตกไปเป็นของห้างที่ไม่ได้เป็นผู้สร้างผลิตภัณฑ์!

แล้ว Tim Ferriss ล่ะ เขาทำอย่างไร เจ้าตัวมีผลิตภัณฑ์ชื่อ Body Quicken เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับนักกีฬา อ่า อันนี้เริ่ม Niche แล้ว คือเขาทำสินค้าที่เฉพาะทางมากๆ ซึ่งพอมันเฉพาะทางแล้วราคามันจะแพง ต่อมาเขาไม่ติดต่อห้างเองแต่เขาใช้วิธีหา Exclusive distributor หรือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่อนำสินค้าไปกระจายต่อ

อั่ยย่ะ! นี่มันเป็นวิธีที่ฉลาดนะครับ เพราะปัจจุบันฝรั่งเจ้าของสินค้าที่อยากเอาสินค้ามาปล่อยในประเทศต่างๆ เขาก็ไม่ได้มาตั้งสำนักงานเอง แต่เขาใช้วิธีหาตัวแทนในประเทศนั้นๆเพื่อทำหน้าที่ปล่อยของและทำการตลาด ฯลฯ ให้หมดเลย โดยตัวแทนต้องมีศักยภาพทางการตลาดและต้องมีการกำหนดแผนงานต่างมาเลยว่าจะขายเท่าไรจะขายอย่าง ฯลฯ นี่คือวิธีที่ Tim Ferriss ใช้และทำให้เขาไม่ต้องวิ่งเต้นทำธุรกิจเองเพราะมีตัวแทนจำหน่ายเป็นเสมือน One stop ทำงานให้หมดเลย

ส่วนผลิตภัณฑ์ Body Quicken ของเขาก็ Outsource โรงงานผลิต เพียงแต่ตัวเขาเป็นผู้คิดและออกแบบ Concept ของผลิตภัณฑ์ พูดง่ายๆ ใช้ไอเดียสร้างโมเดลธุรกิจ ที่เหลือให้คนอื่นเอาไปทำให้ !

รวยทั้งเงินและเวลาต้องมาจากการสร้างระบบมาทำงานแทน

สมัยก่อนใครเปิดกิจการ โชห่วย ร้านอะไหล่ยนต์ ร้านนู่น ร้านนี่ ถือว่าเป็นเถ้าแก่ คนทั่วไปอาจจะอิจฉาว่า รวย เป็นเจ้าของกิจการ แต่ผมลองไปสังเกตวิถีชีวิตเถ้าแก่โครตทรมานเลย

วันๆ ต้องเฝ้าร้าน ไปไหนไม่ได้ ห่างเก๊ะเงินไม่ได้ กลัวลูกน้องอู้ กลัวลูกน้องโกง ฯลฯ คือมีเงินแต่ก็ไม่ถึงกับรวย แต่ที่ไม่มีแน่ๆ คืออิสรภาพ ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนแต่ต้องหาเงินไปจ่ายเงินเดือนเขา! ที่นี้ Concept ของ Tim Ferriss คือคุณต้องรวยทั้งเงินและเวลา ถ้าคุณมีเงินแต่ไม่มีเวลาใช้เงินมันก็ไม่สมดุล

Tim Ferriss เป็นคนที่ System oriented มากๆ คือเขาให้ความสำคัญกับ ระบบ ได้แก่ ระบบ Internet marketing ระบบ Freelance ระบบ Outsource เขาเป็นคนคิด Concept โมเดลธุรกิจ พอคิดเสร็จโยนให้ Outsource เลยครับ

-    Product จ้างโรงงานผลิต
-    Distribution ใช้ตัวแทนจำหน่าย
-    Staff ใช้ Virtual assistant
-    Content ใช้ Blog
-    Marketing ใช้ Google Adwords

นอกจากนั้น Tim Ferriss จะมี Virtual assistant ระดับผู้จัดการเป็น Project manager มาคุมแทนทั้งหมดอีกทีโดย Tim Ferriss จะให้อำนาจการตัดสินใจในระดับที่กำหนดและเฉพาะเรื่องฉุกเฉินเท่านั้นที่ Project manager จะอนุโลมให้โทรศัพท์สายตรงหา Tim Ferriss ได้

ส่วนเรื่องการอ่านอีเมล์ Tim Ferriss บอกว่าเขาจะเช็คอีเมล์แค่สัปดาห์ละครั้ง ทั้งหมดนี้จึงกลายมาเป็น The 4-Hour Work Week คือใช้เวลาในการอัพเดทติดตามงานเพียงสัปดาห์ละไม่กี่ชั่วโมง

อ่านต่อ...
http://www.theceoblogger.com/4-hour-experience/

 :wanwan017:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 04, 2014, 02:35:40 PM โดย postbkk »